* ห้องโถงรับแขก

Refresh History
  • lostlance: งี้นี่เองงง
    July 21, 2023, 07:09:04 PM
  • Qiao: อยากเล่นแนว fear and hunger 1-2 ก็ได้
    August 28, 2023, 10:56:33 PM
  • lostlance: ผมว่าเกมมันหลอนไป
    August 31, 2023, 10:47:07 AM
  • Johan: สลัดทั้งงานราษฎร กับงานหลวงไม่ออก น่าจะมาต่อสักใกล้ๆปลายปีนะครับ
    September 29, 2023, 06:48:36 PM
  • Bloody Rabbits: รออยุ่ว
    September 29, 2023, 10:01:26 PM
  • lostlance: ที่โพสใหม่นั้นสแปมหรืออะไรน่ะ
    October 05, 2023, 02:12:26 PM
  • Chao: ยังแอบมาต่อนะเออ
    December 02, 2023, 01:55:59 AM
  • Johan: สวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้ทุกคนยุ่งๆงานเยอะๆ
    January 01, 2024, 11:30:01 AM
  • Johan: อยากมาต่อ แต่เคลียรืเวลาไม่ลงตัวเลย
    January 01, 2024, 11:30:18 AM
  • Johan: Chao: ยังแอบมาต่อนะเออ <<< ตอบแล้วๆ (เกมบ้าอะไรฟระ โพสละครึ่งปี)
    January 01, 2024, 11:35:44 AM
  • lostlance: สวัสดีปีใหม่ครับบ
    January 01, 2024, 08:58:21 PM
  • Qiao: มาลักข้อมูลบอร์ดเกม
    June 09, 2024, 12:51:10 PM
  • duek duen: จะยังมีใครใช้เว็บนี้อยู่ไหมนะ —
    July 29, 2024, 10:00:23 PM
  • Game Master: เจ้าของยังไม่ค่อยเข้าเล้ย
    August 01, 2024, 08:35:21 PM
  • duek duen: Damn
    August 04, 2024, 04:42:50 PM

Author Topic: [STARLIGHT] Story  (Read 12373 times)

0 Members and 3 Guests are viewing this topic.

Offline Johan

[STARLIGHT] Story
« on: July 18, 2015, 10:56:46 AM »


เมื่อสมัยเด็ก ฉันมองไปที่ฟากฟ้ายามค่ำคืน มันเป็นแสงระยิบระยับหลายต่อหลายกระจุก ฉันมองเห็นสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็น พวกเขาบอกว่านั่นคือดวงดาว
ฉันได้รู้ว่าผืนดินที่ฉันยืนอยู่นี้คือดาวดวงเล็ก ๆ ดวงหนึ่งในวันที่ฉันได้ถือมัน วัตถุที่ยิงออกไปเป็นแสงที่คล้ายกับดวงดาว แม้ว่ามันจะไม่ได้ส่องประกายระยิบระยับ
เพื่อนของฉัน พี่น้องของฉันล้มตายจนหมดสิ้นด้วยแสงที่พวยพุ่งออกมาเป็นสายคล้ายกับฝนที่พุ่งในแนวระนาบกับผืนดิน

จากเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ที่พวกเขาเรียกมันว่าอะไรสักอย่าง


ฉันเป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ บนก้อนหินก้อนหนึ่งในอวกาศ ก้อนหินที่เรียกว่าดาวเคราะห์

 

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #1 on: July 18, 2015, 11:55:27 PM »
เรารู้ว่าดาวเคราะห์แต่ละดวงนั้นอยู่ห่างไกลกันมากเกินกว่าช่วงชีวิตของมนุษย์จะเดินเท้าไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงได้
ดาวเคราะห์นั้นอยู่ในอวกาศ และไม่ใช่ศูนย์กลางของเอกภพ มันเป็นเพียงเศษธุลีของวัตถุ เราจะเรียกมันว่าอย่างนั้นก็ได้ และมันจะโคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ที่เป็นศูนย์กลาง
ดาวฤกษ์จะเปล่งแสงและส่องสว่าง มีดาวเคราะห์โคจรโดยรอบตัวมัน หรือไม่มันก็โคจรรอบดาวฤกษ์ด้วยกันเอง และอยู่เป็นกระจุก ซึ่งเราเรียกว่าระบบดาว
กาแล็คซี่เป็นกลุ่มของระบบดาว มีดาวฤกษ์นับล้าน ๆ กับสสารระหว่างดาวอันประกอบด้วยก๊าซ ฝุ่น และสสารมืด
และในอวกาศยังมีกาแล็คซี่อีกมากมายนอกเหนือจาก Rexus เท่าที่เราสำรวจอย่างละเอียดก็มีมากกว่า 788 กาแลคซี่ จากทั้งหมดที่มีมากกว่าแสนล้านกาแลคซี่

ปัจจุบันยังคงมีการก่อเกิดดาวฤกษ์ใหม่ในดาราจักรขนาดเล็กที่ก๊าซเย็นยังไม่สลายไปจนหมด
ดาราจักรชนิดก้นหอยสามารถสร้างดาวฤกษ์ใหม่นานตราบเท่าที่มันยังมีเมฆโมเลกุลหนาแน่นของไฮโดรเจนระหว่างดาวอยู่ภายในแขนก้นหอย
แต่ดาราจักรรีไม่มีก๊าซเหล่านั้นจึงไม่สามารถสร้างดาวฤกษ์ใหม่ ๆ ได้อีก เพราะแหล่งกำเนิดสสารที่จำเป็นต่อการกำเนิดดาวฤกษ์นั้นมีจำกัด
เมื่อดาวฤกษ์ได้แปลงไฮโดรเจนเหล่านั้นไปเป็นธาตุหนักแล้ว การกำเนิดดาวใหม่ก็เป็นอันสิ้นสุด





"..........." ชายหนุ่มร่างใหญ่กำยำนั่งอยู่ในคลาสเรียน และเขาเริ่มที่จะฟังอาจารย์ผู้สอนไม่ทัน เขาไม่ได้คิดว่าเขาควรจะถามอะไร เพราะเขาก็ยังไม่รู้ว่าเขาควรจะสงสัยเรื่องใดด้วยซ้ำ
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของคลาสเรียนมีใครบางคนถูกอาจารย์ยิงคำถาม และมันก็ทำให้เขาชำเลืองมองว่าใครกันที่โชคร้าย แต่ดูเธอจะไม่ได้หัวทึบเหมือนกับเขา คงจะบอกว่าเธอโชคร้ายไม่ได้
เธอตอบคำถามของอาจารย์ได้ ทั้งที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าอาจารย์ถามอะไร แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าเธอนี่เจ๋งเป็นบ้า




"ฉันเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยหยุดการสู้รบกันเองโดยเปล่าประโยชน์ และเป็นตัวสมานฉันท์ให้กับพวกเราเผ่า Rex ด้วยกันเอง"
"เพื่อพัฒนาวิทยาการให้ก้าวไกลมากขึ้น และช่วยเพิ่มอาณานิคมบวกกับทรัพยากรของเผ่าเราให้มีขีดจำกัดมากขึ้น รวมถึงมีโอกาสที่เจอกับเผ่าอื่นที่มีความก้าวหน้ามากกว่าพวกเรา"
"และจุดนั้นจะทำให้เผ่าของเราเข้าใกล้คำว่าพัฒนามากขึ้นไปอีกขั้น ..."

สถานการณ์ในเวลานี้ไม่สามารถฟื้นฟูอะไรได้ กลับจะเลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ และการสำรวจกาแล็คซี่อื่นยังไม่เกิดขึ้นอย่างจริงจังเมื่อทรัพยากรแทบทั้งหมดถูกนำไปใช้ในสงคราม
มันเป็นเพียงแค่แนวคิดของคนโบราณที่หวังจะเดินทางไปสำรวจสถานที่ ๆ ไม่รู้จัก ซึ่งสวนทางกับสงครามกาแล็คซี่ ขั้วอำนาจในกาแล็คซี่นี้ต้องการสร้างเอกภาพโดยมีระบบดาวของตนเป็นศูนย์กลาง
ไม่มีทางใดที่จะหยุดการสร้างกำลังรบได้ พวกเขาจะต่อสู้ และฆ่าฟันกันจนกว่ากาแล็คซี่นี้จะแตกดับ แต่บางที หากมีบางอย่างหันเหความสนใจของพวกเขา
ความคิดของเธอดูจะตรงใจอาจารย์ผู้สอนที่เป็นหนึ่งในผู้มีแนวคิดเช่นนี้



"โป้ยย...ย" เด็กหญิงอีกคนส่งเสียงประหลาด ก่อนจะละสายตาไปยังหน้าต่างฝั่งซ้าย
เธอมองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย ในทิศทางนั้นไกลออกไปราวสิบกิโลเมตรเป็นตัวเมืองของเขตนี้




และด้านหนึ่งของเมืองใหญ่ยังมีหมู่บ้านเล็ก ๆ หลายหมู่บ้าน ตั้งอยู่ไกลออกไปจากตัวเมืองราว 6 กิโลเมตรตามป้ายบอกทาง



หญิงสาวเพนจรนางหนึ่งเดินทางผ่านมาอย่างไร้จุดหมาย เธอเดินผ่านเพิงที่มีครูชนบทมาเปิดสอน แต่เธอไม่คิดจะสนใจมันหรอก มันเป็นเรื่องที่เธอรู้อยู่แล้วจากการดูโทรทัศน์ตามริมถนน
บ้านก็ไม่มี ครอบครัว เพื่อน ไม่มีสักอย่าง เธอกำเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดไปยังร้านริมทาง ต่อคิวรอซื้อขนมปังจากชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มาก่อน เขาชำเลืองมองมา แต่ไม่ได้พูดอะไร



ชายหนุ่มได้ขนมปังมาแล้วก็เดินไปยังทิศทางที่หญิงสาวเดินมา ผ่านเพิงที่มีครูชนบทมาเปิดสอน แต่เขาก็ไม่เข้าใจ และไม่คิดจะสนใจมัน
เขาไม่ได้เกลียดการเรียนหรอกนะ แต่เขามีบางอย่างที่เขาต้องทำมากกว่าจะมานั่งฟังครูให้ความรู้ในสิ่งที่เขาอาจจะไม่ต้องการ
งานประจำก็ไม่มี ครอบครัว เพื่อน ไม่มีสักอย่าง เขามีอยู่แค่อย่างเดียวในเวลานี้คือน้องสาวของเขาที่รออยู่ที่บ้าน เขากำลังจะกลับไปพร้อมขนมปังกรอบ อาหารมื้อเย็นของวันนี้
แต่จู่ ๆ ก็มีคนเดินมาชนเขาจนหงายหลังล้มลงไป ขนมปังหลุดจากมือตกบนผืนทรายขาวซีด

"เฮ้ย!" เขาอุทานด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองและหันไปมองหน้าคนที่ทะเล่อทะล่ามาชนด้วยสีหน้าไม่ดี ในใจหวังว่าอีกฝ่ายจะขอโทษตน
ก่อนจะก้มเก็บขนมปังขึ้นมาปัดฝุ่นออก ดีที่เป็นของแห้ง แค่ปัด ๆ ออกก็กินได้แล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นออกตามตัว
อีกฝ่ายเป็นชนเผ่า Ears รูปร่างใหญ่เหมือนหมี เชื่อเถอะว่ามันตบทีเดียวเขาอาจจะตายคาที่ไปเลย แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้หาเรื่อง เจ้าหมีนั่นจึงหันมาก้มหัวขอโทษ


ไม่ไกลออกไปมากนัก



หุ่น AGN-04 หรือชื่อเล่น Quasar กำลังนั่งฟังอาจารย์ผู้สอนอย่างไม่วางตา เธอนิ่งเงียบ แต่ไม่ได้เบื่อ เธอแค่ไม่เข้าใจมันเลยสักนิดเดียว
ที่นี่เป็นโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง บนดาวที่วางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าร่วมสงคราม มีการวางนโยบายการเรียนการสอนในเชิงอนุรักษ์เพื่อสร้างประชากรที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนยุคใหม่

กระทั่งวูบหนึ่ง เกิดแผ่นดินไหวขึ้น และค่อย ๆ ทวีความรุนแรงคล้ายกับตึกเรียนถูกเขย่า

หน่วยประมวลผลของ Quasar วิเคราะห์สถานการณ์ว่าแค่มุดลงใต้โต๊ะหรือนั่งกุมศีรษะก็เพียงพอ แต่ไม่ใช่ในกรณีอยู่บนชั้นสอง การวิ่งลงไปชั้นหนึ่งไม่มีทางทันเวลา การร้องเตือนคนอื่นไม่ได้ทำให้ปลอดภัยขึ้น
เธอหันไปคว้าเก้าอี้ตัวหนึ่งขึ้นมาฟาดกับกระจกหน้าต่าง พร้อมอาศัยแรงเหวี่ยงกระโจนออกไปทันที ความสูงระดับนี้สร้างความเสียหายไม่หนักหนามากหากเธอไม่อุตริใช้ศีรษะรับน้ำหนักต่างขา
ความสูงในระดับ 3-4 เมตรไม่ใช่ปัญหาหากคุณเป็นนักกายกรรม หรือไม่ก็เป็นนักกีฬาที่ออกกำลังอย่างหนักเป็นประจำ แต่ในเวลาที่ฉุกละหุกแบบนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะหุ่นที่ระบบข้อเท้าและข้อต่อหลายส่วนมีปัญหา

AGN-04 เท้าไปเกี่ยวขอบหน้าต่างเอาหัวลงพื้น เธอหันไปยังอาคารเรียนก็พบว่าชั้นสามพังลงมาทับชั้นสอง แต่ชั้นสองไม่ได้พังลงมาด้วย

เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบฝุ่นที่ฟุ้งตลบราวกับคลื่นยักษ์บนผืนดินแห้งผากสูงกว่าสิบเมตรอันเกิดจากแรงระเบิดของขีปนาวุธชนิดหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งมันได้ทำลายบริเวณนั้นราบเรียบในพริบตาไปแล้ว
AGN-04 ยกแขนขึ้น ใช้มือป้องชิ้นส่วนบอบบางอย่างดวงตา จมูก และปาก พร้อมทั้งวิ่งและโจนไปยังท่อระบายน้ำ กลิ้งตกลงไปในสภาพที่ฝุ่นทรายเทตามลงมาทับร่างของเธอเบื้องล่างเป็นระลอก



"อ๊าาา ขาผม อึ่ก" เด็กชายเกือบตายเพราะบันไดพังถล่มขณะที่เขาพยายามจะวิ่งหนีลงบันไดรอดชีวิตมาได้ในสภาพที่กระดูกเท้าถูกทับแตกละเอียด
เขาคิดว่าเขาโชคดีที่ไม่กระโดดออกไปจากอาคารในระหว่างที่ลากสังขารกลับมาพิงผนังใต้หน้าต่าง ปล่อยให้ฝุ่นที่ฟุ้งตลบและเศษซากที่ถูกหอบมาปลิวผ่านหัวไปท่วมบริเวณชั้น 1 เกือบทั้งหมด




"..." แม้จะหลบหลังต้นไม้และอยู่ห่างจากรัศมีออกมาพอสมควร แต่แรงลมก็ดึงเอาเธอหลุดออกไป และกลิ้งไถลไปกับพื้นทรายอีกกว่ายี่สิบเมตร จนเธอถลอกปอกเปิก
เธอเห็นชายคนที่ซื้อขนมปังคนนั้นวิ่งตาลีตาเหลือกผ่านไป เขามุ่งหน้าไปที่เมืองซึ่งเป็นจุดที่เกิดการระเบิด ในขณะที่หญิงสาวแทบจะถูกทับโดยหุ่นรบที่ตกลงมาและครูดไถลมากับพื้น
« Last Edit: July 18, 2015, 11:59:09 PM by Johan »

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #2 on: July 19, 2015, 12:15:53 AM »
เสียงอันดังสะเทือนทั้งมวลเมฆและผืนดินเกิดจากฝูงยานและหุ่นรบที่ประจัญบานกันเหนือผิวดิน
หุ่นรบเครื่องหนึ่งเสียการควบคุมบินถลาลงมาและไถลไปกับพื้นเป็นระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตร และมาหยุดอยู่หน้าป้ายบอกทาง และข้าง ๆ นั้นเป็นชายคนหนึ่ง
เขามองมันกระทั่งคนขับที่ทุลักทุเลออกมาจากค็อกพิทล้มลงสิ้นใจตรงนั้น หรือบางทีมันอาจจะเป็นโชคชะตา



"ในที่สุดเส้นทางก็เปิดออกแล้วสินะ" เขาไม่ได้รีรอที่จะเข้าไปในค็อกพิท และควบคุมมันบินทะยานขึ้นไปบนฟ้ากว้าง

ดนตรีเริ่มบรรเลง

สงครามบนฟากฟ้าที่อลหม่านไม่แพ้บนผืนดินไม่สามารถดึงความสนใจจากชายหนุ่มไปได้
ภาพที่เขาเห็นก็คือ หลุมยักษ์ที่คล้ายกับถูกคว้านเอาพื้นดินไป มันกินบริเวณของเมืองทั้งเมือง และบ้านหลังเล็ก ๆ ของเขาก็เคยอยู่ในเมืองที่ว่างเปล่านี้



เขามองภาพนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า ร่างกายนิ่งค้างทำอะไรไม่ถูก สองขาอ่อนแข็งทรุดนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ก้อนขนมปังหลุดจากมือกลิ้งคลุกกับพื้นดินอย่างไม่ใส่ใจไยดี




"ไม่นะ...เป็นไปไม่ได้" ชายหนุ่มพึมพำ ริมฝีปากสั่นระริก มือกำหมัดแน่นก่อนที่จะคำรามลั่นสุดเสียง

เสียงนั้นดังสะท้อนไปไกล เป็นเสียงที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกขนลุก มันช่างน่าเวทนาและเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างสุดจะบรรยาย

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #3 on: July 19, 2015, 10:22:27 AM »


ภายใต้การดำเนินโครงการ STARLIGHT และสนธิสัญญา STARLIGHT
สงครามกาแล็คซี่ที่ดำเนินมายาวนานได้จบลงเมื่อเหล่าขั้วอำนาจในระบบดาวต่าง ๆ ที่เป็นแกนหลักของสงครามตกลงกันได้
มันเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนและละเอียดอ่อนในระดับกาแล็คซี่ ไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจได้ง่ายนัก และบางทีมันอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณจะต้องสนใจมันอีก

เพราะคุณอาจจะไม่มีวันได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว ไม่สิ คุณอาจจะไม่ต้องการกลับมาอีกแล้วก็เป็นได้




"ก็แค่เศษเสี้ยวของพลังอำนาจมันมาฝังอยู่ในตัวของพวกเรา" นายพล Osy แห่งจักรวรรดิ Noun หนึ่งในเผ่าพันธุ์ Rex ที่เคยเรืองอำนาจเอ่ยขึ้น
ก่อนที่เธอจะก้าวขึ้นปราการยักษ์ Innocent Tower และอพยพไปจากกาแล็คซี่ Rexus พร้อมกับประชากรชนเผ่า Noun อีกกว่าสิบล้าน
ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดินีแห่ง Noun ที่ต้องการหนีจากสงครามเพื่อไปสร้างอาณานิคมใหม่ในที่ ๆ ห่างไกลจากผู้ล่าด้วยกันเอง

Spoiler for Hiden:
และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใน Galactica III ที่ John ได้เปิดบทบาทขึ้น พร้อมการแสดงแสนยานุภาพของชนเผ่า Rex ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์ในระบบสุริยะหลายเท่า
http://baron.wudthipan.com/forum/index.php?topic=1013.msg85339#msg85339
แม้จะไม่รู้ว่าผลลัพท์ท้ายที่สุดจะเป็นเช่นไร แต่เพียงแค่ชนเผ่า Noun หยิบมือหนึ่งก็สั่นคลอนและสร้างความอกสั่นขวัญแขวนได้ทั้งระบบสุริยะ

"ผู้ล่านั้นแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด"


"นี่ แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เปิดร้านขายฮอทดอกซะทีล่ะ เฮ้ John นายฟังฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย"

(ซึ่ง Osy ก็มีบทอยู่แค่นี้แหละ ให้หายคิดถึง)
« Last Edit: July 19, 2015, 10:27:15 AM by Johan »

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #4 on: July 19, 2015, 10:55:24 PM »
การเดินทางออกจากกาแล็คซี่ไม่เหมือนการเดินทางในกาแล็คซี่ที่มีระบบสนับสนุนมากมาย ทุกอย่างมีความเสถียรอย่างสูง มันมีทั้งระบบ และกลไกเวทมนตร์คอยช่วยเหลือหลายชั้น
อาทิ การเดินทางข้ามระบบดาวนั้นกัปตันยานแทบไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ เขาแค่กดปุ่ม ใส่รหัส ตั้งค่าและโปรแกรม จากนั้นก็หย่อนก้นลงนั่ง โทรศัพท์คุยกับคนรักในอีกฟากกาแล็คซี่
ผู้คนที่มีฐานะจะเดินทางข้ามดวงดาวกันได้โดยการใช้เครื่อง Warp Jump มันไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเลยที่คุณจะเดินทางไปมาหาสู่กันในระบบกาแล็คซี่ที่มีดาวนับล้าน

แต่การสำรวจอวกาศนอกกาแล็คซี่เป็นเรื่องใหม่ วิทยาการสำรวจอวกาศของชนเผ่า Rex อยู่ในระดับเด็กหัดเดิน หากเทียบกับวิทยาการด้านการเดินทางระหว่างดาวและสงคราม
พวกเขาไม่อาจนำเอาเทคโนโลยีระดับสูงที่ใช้งานในระบบกาแล็คซี่ Rexus ออกไปใช้นอกกาแล็คซี่ได้โดยไร้การวางเครือข่ายสนับสนุน



จึงไม่แปลกนักที่ยานลำนี้จะเหมือนยานที่หลุดมาจากสมัย 100 ปีก่อน

Rexus คือชื่อของยานเดินทางขนาดยักษ์ลำนี้ ซึ่งในบรรดาดาวที่ส่งยานออกเดินทางก็มีชื่อนี้กันมากกว่า 90% จนต้องมีการใส่รหัสสุดแสนจะยาวยืดต่อท้าย
คงไม่มีใครอยากมานั่งจดจำรหัสที่เป็นเลขสากล 499 หลัก ทุกคนบนยานจึงรู้จักและจดจำเพียงแค่ Rexus เท่านั้น

มันมีความยาว 600 กิโลเมตร เป็นยานเดินทางติดอาวุธที่นับว่ามีขนาดเล็กหากเทียบกับยานเดินทางในกาแล็คซี่ ระบบต่าง ๆ ก็ไม่ได้ไฮเทคเท่ากับที่มีใช้ในกาแล็คซี่ Rexus
สิ่งที่จำเป็นสำหรับยานเดินทางสำรวจอวกาศคือ ระบบพัฒนาตนเอง และระบบซ่อมแซมอัตโนมัติ ซึ่งมันจะช่วยรักษาชีวิตประชากรในยานได้ดีกว่าการติดตั้งอาวุธและใช้ชิ้นส่วนไฮเทค
การเดินทางที่ไม่อาจคาดเดาระยะเวลาที่แน่นอนและเหตุการณ์ที่เกินคาดนั้นจำเป็นต้องทำให้ตัวยานคือที่อยู่ถาวร

อย่างน้อยที่สุดหากไม่อาจกลับมายังกาแล็คซี่ Rexus ได้ ทุกคนก็จะใช้ชีวิตอยู่ในยานได้อีกเป็นร้อยเป็นพันปี



2 ปีนับแต่ยาน Rexus ออกจากกาแล็คซี่ Rexus และต้องลอยลำอยู่ในพื้นที่ว่างระหว่างกาแล็คซี่ ซึ่งกว้างใหญ่กินระยะทางพอ ๆ กับการวนรอบกาแล็คซี่ Rexus
แม้จะใช้ระบบ Warp Jump อย่างต่อเนื่องก็ยังต้องกินเวลาถึง 2 ปีเต็มกว่าจะเข้าใกล้กาแล็คซี่เป้าหมายได้ และน่าจะไปถึงในอีก 1 เดือน ตามข้อมูลที่หาอ่านได้จากอินเตอร์เน็ต

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #5 on: July 19, 2015, 11:20:10 PM »


ห้องนอน Level 1 คือที่พักของ Lunette ตลอดช่วงที่ออกเดินทางมา อย่างน้อยที่สุดเธอก็มีห้องนอนเป็นของตัวเองแล้ว จากการทำงานเก็บเงินซื้อมัน
มันไม่ได้กระจอกหรอกนะ ถึงจะแค่ Level 1 ก็ตาม มันวิเศษกว่าการนอนในห้องนอนรวมที่เหมือนช่องใส่ผักในตู้เย็นที่ต้องนอนเรียงกันเป็นพรืดไม่รู้เท่าไหร่



"..." เธอนอนแหงนมองเพดานอย่างเบื่อหน่าย ถึงจะมีห้องแต่มันก็ไม่มีอะไรเลย ขนาดโทรทัศน์ที่เป็นเครื่องใช้สามัญยังไม่มี
เธอลุกขึ้นไปเปิดไวไฟเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทสักพักก่อนจะปิดแล้วเดินออกจากห้องไป แต่เธอก็ต้องสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่าง



อย่างไรก็ตามที ตู้เย็นในห้องของ TL ที่มีแค่ชีสเหลือจากอาทิตย์ที่แล้วครึ่งชิ้นนี่ดูจะสาหัสกว่าห้องของ Lunette อยู่มาก อย่างน้อยในตู้เย็นของเธอก็ยังมีน้ำแร่และนมล่ะนะ



"...." TL หยิบชีสมาใส่ปากแล้วพยายามสะกดกลั้นความจนเอาไว้ เขาตัดสินใจไปเปิดไวไฟเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อเช็คเงินที่น่าจะโอนเข้ามา
เมื่อเห็นตัวเลขของเงินที่พอจะประทังชีวิตได้อีกสักเดือนเขาก็ดูข้อมูลอื่น ๆ ไปเรื่อยจนกระทั่งได้เห็นข้อมูลน่าสนใจที่เป็นข่าวใหญ่ อีก 1 เดือนเราจะไปถึงที่หมายที่แรกแล้ว
TL อ่านรายละเอียดไปพลางกดดูสินค้าที่เขาคิดว่าจะซื้อมันมาแต่งห้องในยามที่เขามีเงิน จากนั้นก็ไปล้มตัวลงนอนอีกรอบ หยิบแมกกาซีนข้างเตียงมาแปะบนหน้าเพื่อบังแสงไฟนีออนแทนที่เขาจะเอื้อมมือไปปิดมัน





"อั๊ยยะ ปัง ปัง ปัง"

Solv เปิดมาเห็นหุ่นเชย ๆ ตัวหนึ่งกำลังหัดตั้งท่ายิงปืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน และมันทำให้เขาต้องสะดุดอึ้งไปพักหนึ่ง
เธอดูไม่ประสีประสาเท่าไรนัก หรือจะบอกว่าดูแล้วสติไม่ค่อยดีก็อาจจะแรงไป ตั้งท่ายิงไปแล้วก็ขำคิกคักคนเดียว



Solv คิ้วชนกัน แล้วพยายามไม่สบตา เดินเลี่ยง ๆ หลบไป กระทั่งเขาไปถึงโถงก็ได้ยินคนคุยกันเรื่องอะไรสักอย่าง อืมม ดูเหมือนจะเกี่ยวกับเรื่องล่าอาณานิคมอะไรนี่แหละ
« Last Edit: July 19, 2015, 11:21:28 PM by Johan »

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #6 on: July 19, 2015, 11:39:03 PM »


พื้นที่กว้างสำหรับซ้อมรบและระบบซิมูเลชั่นจำลองการต่อสู้เปิดให้ทุกระดับชั้นเข้าใช้งานได้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นทหาร
บนยานลำนี้มีอิสระในการใช้ชีวิตไม่ผิดไปจากบนดาวที่คนส่วนใหญ่จากมา และน่าจะอิสระยิ่งกว่า เพราะถึงไม่ทำงานก็มีที่อยู่ที่กิน แค่ว่ามันอาจจะอัตคัตไปหน่อย
ไม่มีเงื่อนไขมากนักในการรับสมัครทหาร อันที่จริงแล้วมีการรณรงค์ให้มาสมัครเป็นทหารกันให้มากที่สุดด้วยซ้ำไป



"ขอฝากตัวด้วยค่ะ" Quasar ขอเข้าร่วมทีมกับเหล่าขาจรที่กำลังรอสมาชิกเพื่อเข้าทำภารกิจซ้อมรบ หลายคนที่นี่หวังจะสมัครเป็นทหาร

เสียงการโจมตีแหวกอากาศอย่างสมจริงของปืนใหญ่พิสัยไกลอัดเข้าใส่บังเกอร์ที่ Yuudachi แอบซ่อนอยู่จนเธอลอยไปตามแรงระเบิด ตกแอ้กลงมาคอแทบหัก


 <o>

เพื่อน ๆ ร้องเรียกให้รีบตามมา ภารกิจนี้ต้องร่วมมือกัน ถ้าขาดไปสักคนเราไม่ผ่านแน่




"......" Tian He ที่ซ้อมยิงเป้าอยู่อีกด้านหันมาเห็นก็เจ็บแทน เขาคิดว่าค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปดีกว่า
ว่าแล้วก็พยายามยิงเป้าอยู่อีกมุมหนึ่ง แต่ยิงยังไงก็ยิงไม่ถูกสักที





"เลือกระดับต่ำไปหน่อยแฮะ" Kaiser หมอบหลบ ลุกขึ้นมายิงเป้าหมายล้มลง ส่งสัญญาณรุกคืบ แล้วอ้อมไปตลบหลัง

มันง่ายกว่าที่คิด Kaiser เคยออกรบเสี่ยงตายและสอยข้าศึกร่วงเป็นเบือมาแล้ว กับการซ้อมซิมูเลเตอร์ระดับนี้ไม่คณามือ
เขานำทีมปฏิบัติภารกิจจนจบโปรแกรมอย่างไม่ยากเลย ทำเอาสมาชิกขาจรที่ร่วมทีมหลงคิดว่าตนเองเก่งพอจะเป็นทหารอาชีพได้แล้วด้วยซ้ำ แต่คนที่ถูกทาบทามก็มีแค่ Kaiser คนเดียว




"โอ้ โห นี่เธอมีสิทธิ์ว่าฉันด้วยเหรอ เธอตายหมดก่อนฉันอีก"
สิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายเผ่าพันธุ์สาย Mecha เดินออกมาจากเกมเซนเตอร์พร้อมกับเพื่อนอีกคนของเธอ



"เอาไว้มาลองใหม่นะ"

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #7 on: July 20, 2015, 11:44:11 PM »


สองปีที่ต้องล่องผ่านอวกาศดำมืดและ Jump Warp นับไม่ถ้วน ในที่สุดก็ถึงวันที่รอคอย วันที่เราจะได้เหยียบย่างลงบน 'ผืนดิน' อีกครั้ง
ภาพถ่ายที่กระจายไปทั่วทั้งยาน Rexus คือภาพของดาว Presia ซึ่งเป็นดาวดวงแรกที่ใกล้ที่สุดที่ระบบค้นหาอารยธรรมยืนยันขึ้น

กาแล็คซี่ Frontier-17, ดาว Presia
« Last Edit: July 20, 2015, 11:48:23 PM by Johan »

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #8 on: July 22, 2015, 10:22:34 PM »


กลุ่มคนที่พร้อมใจกันลงหลักปักฐานหวังใช้ชีวิตอยู่บนดาวนี้โดยไม่ติดตามยานไปต่ออีกได้เลือกพื้นที่ชุ่มชื่นและอุดมสมบูรณ์ด้านหนึ่งไม่ไกลจากแคมป์มากนักเป็นพื้นที่ตั้งมั่น
แต่บางส่วนก็ออกเดินทางไปไกลกว่านี้เพื่อจับจองที่ดินที่ไร้เจ้าของ... ที่พวกเขาคิดว่ามันไร้เจ้าของ

บ้าน่ะ พวกเขาไม่กลัวอะไรเลยรึไง พวกเขายังไม่รู้จักดาวดวงเลยสักนิดว่ามันคือดาวอะไร

มองไปที่กลางหมู่บ้านที่กำลังตั้งขึ้นเห็น Sphere และเหม่ยซือด้วย อ้าว ไหนบอกไม่ว่างสำรวจ



"โธ่ ก็ไม่ว่างสำรวจไง นี่ก็กำลังยุ่งนะ มาช่วยกันหน่อยสิ" Sphere บอกว่าเธอกับเหม่ยซือกำลังโน้มน้าวผู้คนที่พยายามจะตั้งหลักปักฐานกัน



"มันอันตรายมากเกินไปที่จะตัดสินใจแยกตัวออกมาจากแคมป์ เรายังไม่มีข้อมูลยืนยันเลยว่าผู้อาศัยบนดาวดวงนี้หายไปไหนกันหมด"

ที่นี่มีประชากรประมาณสองหมื่นคน และน่าจะมีการอพยพมาเพิ่ม เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม
แกนนำที่สองคนนี้มาคุยด้วยบอกว่าสองคนนี้รับเงินราชินีมาเท่าไหร่ล่ะ คงกลัวคนอพยพไปหมดยานแล้วจะไม่มีแรงงานไว้ใช้สอยน่ะสิ


"ปัดโธ่ เดี๋ยวต่อย ปากเหรอนั่น" ขาดคำ Sphere ก็ถีบชายคนนั้นสลบกลางอากาศ o>

ก็พอดีมีคนวิ่งมาทางนี้แล้วบอกว่าลูกชายของตนเข้าป่าไปแต่ไม่กลับออกมา ได้ยินเสียงคำรามน่ากลัวดังลั่นป่าด้วย
เหม่ยซือจับคางหลังจากมองตา Sphere ที่หันมาขอความเห็น แล้วหันมายัง Tian He



"ข้าไม่มีทั้งสติปัญญาและความเฉียบแหลม แม่นางทั้งสองมีความเห็นว่าอย่างไร" แต่ Tian He ก็ถามกลับ ทำเอาเหม่ยซือหรี่ตามองเขาจนเขาต้องออกความเห็น

"ข้าคิดว่าควรสอบถามผู้รู้เกี่ยวกับป่าก่อนว่าหากเข้าไปจะเจออะไรบ้าง หากมี survival kit อย่างพวกเชือก คบไฟ ยาติดตัวก่อนบุกเข้าป่าคงดี มีไหม หาได้จากไหนดี"
"ทางทีนี้ก็ขอกำลังอาสาบุกป่าไปด้วย ไอดอลทั้งสองน่าจะปลุกระดม เอ้ย ชักชวนไม่ยาก แม่นางช่วยในเรื่องนี้ได้ไหม"

คนที่ร้องขอให้ช่วยแหกปาก
ชายคนที่มาขอความช่วยเหลือบอกว่าลูกชายจะตายอยู่แล้ว และรบเร้าให้รีบไปช่วยสักที ยืนซื่อบื้ออะไรอยู่ได้
เลยเจอไอดอล Sphere ถีบสลบคาเท้าไปอีกคน

Sphere มองดูแคมป์ที่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อย แต่ทหารจะยอมมาช่วยกันกี่คนล่ะเนี่ย พวกนี้ก็แยกตัวออกจากยานมาแล้ว
เหม่ยซือบอกว่าไม่ต้องเตรียมไฟหรอก เราไม่เข้าไปค้างในป่าแน่ เธอบอกพลางมองไปที่ Adventure Hower หรือยานบินขนาดเล็กสำหรับเดินทาง (เหมือนที่ร็อคแมนขี่)



"งั้นฉันจะเข้าไปก่อนก็แล้วกันนะ ชีวิตคนสำคัญ" Sphere ไม่ได้ฟังเสียงใคร และบึ่ง Adventure Hower ออกไปทันที ปล่อยให้เหม่ยซือแหกปากไล่หลัง



"โธ่ ยัยบ้า" เหม่ยซือตัดสินใจไปขอให้ทหารช่วย และฝากที่เหลือกับ Tian He

Tian He ไม่มีทางเลือกเลยต้องกระชับธนูขึ้นไปยังอีกคัน แต่เขาขับมันไม่เป็นนี่สิ



"ผมขับเป็นคับ" เด็กชายคนหนึ่งกระโดดขึ้นมา




ป่าที่มืดทึมกำลังส่งเสียงร้องเซ็งแซ่คล้ายกับมีบางอย่างรุกล้ำเข้าไปในถิ่นที่อยู่ของผู้อาศัยเดิมที่ดุร้าย



"ธนูนั่นจะไหวเหรอคับ ทำไมไม่เอาปืนมา" TL เด็กหนุ่มที่ขับ Adventure Hower เลี้ยวเลาะหลบแนวไม้อย่างทุลักทุเลก็ยังไม่วายไปสนเรื่องอื่น



"วางใจเถอะ ข้าไม่ใช้มันหรอก ข้ายิงมันไม่เป็นด้วยซ้ำ"

<< TL

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #9 on: July 25, 2015, 09:16:05 AM »
Tian He เดินทางไปยังวิหารคนเดียวหลังแยกจากกลุ่ม และสิ่งที่เขาได้พบที่ปลายสายตาก็คือ



มวลหมู่พืชยักษ์ที่รายล้อมวิหารโบราณเอาไว้ พวกมันส่งเสียงเซ็งแซ่จนน่าขนลุกเลยล่ะ
Tian He ยืนมองอยู่ไกล ๆ อย่างสิ้นหวัง จะฝ่าเข้าไปได้ยังไงกัน วินาทีหนึ่งที่เขาคิดจะหันกลับก็พลันมีใครมาแตะบ่าเขา



"คุณมาถึงที่นี่ได้ก็เป็นการยืนยันในระดับหนึ่งว่าคุณมีคุณสมบัติ" ชายประหลาดที่ไม่สวมเสื้อพูดกับเขา

เมื่อได้คุยกันจึงรู้ว่าเขาชื่อ Rome เป็นชายปริศนา เขาบอกว่าเขามีวิธีดี ๆ แต่เขาต้องการคนช่วย ว่าแล้วก็ชี้ไปทางบ่อน้ำเก่า
เขาเกรงว่าในบ่อน้ำนั่นจะมีกลไกกับดักโบราณ จึงขอให้ Tian He ลงไปไถให้หน่อย




"ข้าเกือบตายแล้ว เจ้าทำให้ข้าเกือบมอดม้วย" Tian He ดึงธนูออกจากหัวและหัวเข่าพลางมองไปรอบ ๆ

สิ่งที่ปรากฎแก่สายตาของเขาคือวิหารที่เคยมีผู้คนแวะเวียนเข้ามา และเป็นวิหารที่กว้างใหญ่มากทีเดียว




อากาศในวิหารนั้นอบอุ่น ผิดกับภายนอกที่เริ่มเย็นเยียบหลังแสงสว่างจากดาวฤกษ์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะนี้ได้หายไป
เรารู้ว่าดาวดวงนี้โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่จะทอแสงตลอด 18 ชม. และฟ้าจะมืดลงเป็นเวลาเพียง 6 ชม. หากนับระบบ 24 ชม.
ด้วยแสงที่ส่องมากระทบทั่วทุกซอกมุมของดาวในปริมาณที่เหมาะสม และสภาพอากาศที่หนาวสลับอบอุ่นทำให้พืชพันธุ์บนดาวดวงนี้อุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยแหล่งน้ำกับป่าสีเขียว
แต่น้อยคนจะรู้ว่าช่วง 1 ชม. ก่อนอาทิตย์ขึ้น อากาศในป่าจะหนาวเย็นติดลบถึง 90 องศา และลงไปที่ลบ 187 องศาใน 5 นาทีก่อนอาทิตย์ขึ้น
« Last Edit: July 25, 2015, 09:29:40 AM by Johan »

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #10 on: July 27, 2015, 11:43:33 AM »
นานมาแล้วที่ดาวดวงนี้มีเพียงพืชสีเขียวปกคลุมและครอบครองผืนแผ่นดินจนกระทั่งกำเนิดสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับเผ่าพันธุ์ Human
พวกเขามีพลังและอำนาจทางด้านเวทมนตร์ พวกเขาเรียนรู้และเติบโต วิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องไปพร้อม ๆ กับการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายบนผืนดินสีเขียว
แต่พวกเขามีความรู้สึกนึกคิด และมีสติปัญญา พวกเขามีอารมณ์โกรธและเกลียด นั่นทำให้พวกเขาก่อกำเนิดความขัดแย้งขึ้นในหมู่พวกพ้องร่วมสายพันธุ์
หากแต่พวกเขาเองมีพลังอำนาจทัดเทียมกัน ไม่อาจเอาชนะซึ่งกันและกัน นั่นจึงส่งผลให้ความสงบสุขยืนยาวมานับล้านปี



"กายทิพย์ทำให้พวกเขาเองต้านทานต่อเวทมนตร์และศาสตราวุธทั้งปวงที่ก่อกำเนิดบนดาวดวงนี้"
"พวกเขาไม่ต่อสู้ และไม่ขัดแย้ง นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต้องการจะทำมัน แต่เพราะพวกเขาทำมันไม่ได้"
"พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พลังอำนาจที่ได้รับจากดาวดวงนี้กลับมาทำลายดาวดวงนี้"

กระทั่งวันหนึ่งที่เกิดฟ้าร้องจนแผ่นดินสะเทือน ปรากฎหลุมสีดำที่เปิดกว้างออกเหนือเนินเมฆ และหุ่นยนต์สีทองตัวหนึ่งได้ตกลงมาจากฟากฟ้าในวันนั้น



"ข้ามมิติไงล่ะ มันคือ Warp Portal เจ้าหุ่นยนต์นั่นมันมาจากที่ใดที่หนึ่งในอวกาศที่ไพศาล" ชายปริศนาปรากฎตัวขึ้น
"มันอาจจะมาจากสถานที่ซึ่งกำลังก่อกำเนิดสงคราม เพราะมันคือหุ่นรบ วิทยาการของที่นั่นอาจจะก้าวล้ำมากพอจะทำให้อวกาศบิดเบี้ยวจนเปิดมิติได้"

Quote


ข้าศึกอยู่ที่ใด โปรดบอกข้า มนุษย์

ข้าศึกของเราอยู่อีกฟากของขุนเขาโน่น

.......

ยืนยันเป้าหมาย


มันเป็นพลังอำนาจที่ก้าวข้ามตรรกะของดาวดวงนี้ พลังอำนาจที่ส่งผลให้สมดุลหายไป นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม
เผ่าพันธุ์ผู้อาศัยบนดาวดวงนี้ได้ล้มตายไปเป็นอันมากจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว

"วิวัฒนาการจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีสิ่งเร้าที่มีพลังและศักยภาพมากพอจะผลักดันสิ่งมีชีวิตนั้น"

ต่อหน้าหุ่นยนต์ยักษ์ เวทมนตร์แห่งธรรมชาติล้วนไร้ผล อาวุธของพวกเขาไม่มีอำนาจมากพอจะต่อกรกับฝ่ายผู้ใช้หุ่นยนต์รบ พวกเขาต้องพยายามหาทางรอด

"ทิ้งกายหยาบและหลอมรวมกับธรรมชาติ"

เดิมทีพืชพันธุ์บนดาวดวงนี้ไม่ได้เคลื่อนไหวได้ และไม่ได้ดุร้ายก้าวร้าวอย่างที่เห็น นั่นคือร่างรวมกับมนุษย์ผู้อาศัยบนดาวดวงนี้
พวกเขาทิ้งกายหยาบและแปรสภาพมาเป็นร่างจิตเพื่อหลบหนีการค้นหาของเทพหายนะ และเริ่มต่อสู้ทำลายล้างอีกฝ่าย
ด้วยละอองเกสรพิษ แหล่งน้ำที่กลายเป็นพิษ และความอันตรายของแมกไม้ที่เคลื่อนไหวได้ เพียงเท่านี้ก็ส่งผลให้ไม่มีมนุษย์เหลือบนดาวดวงนี้อีกเลย

พวกเขาไม่ได้ตาย ไม่ได้สูญพันธุ์ พวกเขายังคงอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนสภาพ และรอคอยการวิวัฒนาการขั้นต่อไป ซึ่งก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะดำเนินไปเช่นไร และพวกเขาจะต่อสู้ฆ่าฟันกันอีกหรือไม่
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีความคิดเช่นนี้ พวกเขาจำนวนหนึ่งสิ้นหวัง และกล่าวออกมาว่าดาวดวงนี้ได้บิดเบี้ยวไปแล้ว
ดาวดวงนี้ไม่ต้อนรับผู้มาเยือนหรือเผ่าพันธุ์ใด ๆ อีก มนุษย์บนดาวดวงนี้สูญเสียสติและจิตใจไปหมดสิ้น ทุกอย่างควรจะจบลง

และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาจำนวนหนึ่งได้ขอร้อง "ทำลายดาวดวงนี้และส่งทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่อวกาศ"

Nu ถามทุกคนว่าจะทำยังไง (hide กระทู้ส่วนตัว มีผลกับรางวัล)

- เจรจาให้อยู่ร่วมกันกับผู้อพยพที่ต้องการอาศัยบนดาวดวงนี้ และเรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน
- เห็นด้วยเรื่องทำลายดาว แล้วอพยพชาววิญญาณที่ต้องการไปยังดาวดวงใหม่ให้ขึ้นยาน


เสียงส่วนใหญ่เลือกที่จะเจรจาให้อยู่ร่วมกันกับผู้อพยพที่ต้องการอาศัยบนดาวดวงนี้ และเรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน สร้างดินแดนของตนเองขึ้น
แม้บางคนจะต้องการให้ทำลายดาวและอพยพผู้ที่ไม่มีปัญหาออกมาขึ้นยาน แต่ก็เป็นเสียงส่วนน้อยเท่านั้น เพราะหลายคนกลัวปัญหาจะมาเกิดบนยาน

การจะอาศัยบนดาวดวงนี้ได้นั้นต้องเข้าใจกัน และยอมรับกัน ซึ่งหากผู้อาศัยเดิมไม่ต้องการ ผู้อาศัยใหม่ก็จะไม่สิทธิ์มาอยู่ที่นี่ได้
ในมุมกลับ ผู้อาศัยเดิมนั้นเรียกได้ว่าด้อยพัฒนายิ่งกว่าหลายขุมในด้านความรู้และศาสตร์ต่าง ๆ พวกเขามีสติปัญญาและพลังที่มาจากเวทมนตร์ซึ่งสถิตย์ในกายของพวกเขา
นั่นทำให้พวกเขาไม่คิดที่จะค้นหาหรือขวนขวาย วิทยาการที่ก้าวล้ำจึงไม่เกิด

หากสองเผ่าพันธุ์ยอมรับและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน พวกเขาคงพัฒนาตนเองขึ้นไปได้ และน่าจะอยู่ร่วมกันได้ภายใต้เงื่อนของอำนาจที่คานกันเอง


มีสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ ๆ นับจำนวนไม่ถ้วนที่วิวัฒนาการมาอยู่ได้ระยะเวลาหนึ่งแล้วก็สูญพันธุ์ แม้ว่าหลายสปีชีส์จะมีลักษณะบางอย่างร่วมกัน และหลายสปีชีส์อาจมองดูคล้ายคลึงกัน แต่ละสปีชีส์ก็แตกต่างจากสปีชีส์อื่น ๆ ที่เคยมีชีวิตอยู่
ทุกสปีชีส์มีลักษณะเฉพาะตัว นับจากไดโนเสาร์ Tyrannosauras rex จนถึงผึ้ง ลักษณะที่เราเห็นในสปีชีส์กลุ่มใหม่ ๆ เป็นผลจากการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตต่อการเปลี่ยนแปลงบางประการที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อม




"เธอกลัวเรื่องนั้นเหรอ กลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวหรอกนะ" Nu ยื่นหน้าเข้ามาแทบจะติดกับ Bel แล้วบอกว่า Rex คือเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งหลากหลายสปีชีส์ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เรียกว่าชนเผ่า Rex

เมื่อเทียบกับชนเผ่า Rex บนยาน ชาววิญญาณบนดาวดวงเล็ก ๆ ดวงนี้ก็เหมือนกับกระต่ายตัวเล็ก ๆ พวกเขาไม่มีทางก่อปัญหาได้ เพราะศักยภาพของพวกเขากับเราต่างกันมากเหลือเกิน
อาทิ สัตว์ประหลาดที่เราเอาชนะได้อย่างง่ายดายนั่นคือชีวอาวุธที่ทรงอานุภาพของชนเผ่าวิญญาณเลยนะ และในชนเผ่า Rex ก็มีสปีชีส์ที่เป็นสายพันธุ์จิตวิญญาณแบบนี้เหมือนกัน (ไม่มีให้เลือกตอนเริ่มเกม)


2 เดือนต่อมาหลังจากที่ Rexus ซ่อมบำรุงและฟื้นพลังงานจนเต็มที่ พวกเขาก็ออกเดินทางค้นหาเป้าหมายต่อไป

จบ Episode 1

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #11 on: July 27, 2015, 12:06:52 PM »


Episode 2


ไม่มีนโยบายสำรวจดาวที่ไม่มีอารยธรรมและไม่ปรากฎผู้สร้างอารยธรรมนั้น
หากได้พบกับดาวเหล่านั้นและประเมินได้ว่าเป็นภัยคุกคาม กองทหารแห่ง Rexus จะจู่โจมทำลายดาวดวงนั้น
แต่หากภัยคุกคามอยู่ในระดับต่ำหรือไม่ปรากฎ Rexus จะลงจอดเพื่อซ่อมบำรุงตัวเองและฟื้นฟูพลังงานเพื่อเตรียมพร้อมในสถานการณ์ฉุกเฉิน
หรือไม่ก็จู่โจมกวาดต้อนเอาทรัพยากรที่มีค่ากลับเข้ายาน

และนี่คือนโยบายของราชินี



Management Turn 2 (ของ MW) ก่อนเข้าสู่ Episode 2 ช่วง Travel
โพสกระทู้ MW ของตนเอง

และสั่งการกระทำในช่วงที่ผ่านมาตลอด 2 เดือน 2 อย่าง ซ้ำได้ (ของ STARLIGHT)
โพสกระทู้ STARLIGHT ของตนเอง
- ฝึกฝน: Training ตัวละคร 3 ครั้ง
- ทำงานหาเงิน: (Class Lv. คูณ 6) หาร 2 = Point
- สร้างความสัมพันธ์อันดี: ระบุตัวละครที่ต้องการ 5c Chr ได้รับ Ally +1
- สำรวจดาว: 3c Status-2 (3 ค่า) M.Atk 1 ได้รับ Item ตกแต่งห้องแบบสุ่ม

*HP/SP จะเต็มแล้ว และเมื่อผ่านช่วงนี้ก็จะฟื้นเต็มอีก, การสิ้นสภาพในช่วงนี้ไม่ส่งผลให้เสีย Point
« Last Edit: July 27, 2015, 12:09:20 PM by Johan »

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #12 on: July 31, 2015, 04:29:35 PM »


Black Hole หรือหลุมดำ หมายถึงเทหวัตถุในเอกภพที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก ไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสง
หลุมดำจะมีพื้นที่หนึ่งที่เป็นขอบเขตของตัวเองเรียกว่าขอบฟ้าเหตุการณ์ หากวัตถุหลุดเข้าไป วัตถุจะต้องเร่งความเร็วให้มากกว่าความเร็วแสงจึงจะหลุดออกมาได้
แต่เท่าที่วิทยาการของชนเผ่า Rex จะก้าวไปถึง เป็นไปไม่ได้ที่วัตถุใดจะมีความเร็วมากกว่าแสง จึงไม่มีวัตถุใดออกมาจากหลุมดำได้อย่างแน่นอน

Quote
ในทางทฤษฎี เมื่อวัตถุมีมวล = 0 วัตถุจะเร่งความเร็วได้เท่ากับแสง และเวลาจะกลายเป็น 0
หากเมื่อมวลของวัตถุติดลบ เวลาก็จะติดลบ เมื่อนั้นวัตถุจะย้อนเวลาได้


Quasar คือลักษณะทางอานุภาพของหลุมดำ มันเป็นศูนย์กลางของกาแล็คซี่ที่ปั่นป่วนรุนแรงไปด้วยการแผ่พลังงาน
มันสามารถปล่อยพลังงานออกมาจำนวนมากกว่ากาแล็คซี่ทั่วไปเฉลี่ย 1,000 เท่า หรือมากกว่า ในขณะที่ตัวมันเองมีขนาดเล็กกว่ากาแล็คซี่ทั่วไปถึง 1,000,000 เท่า
ภายใน Quasar พบว่ามีหลุมดำขนาดใหญ่ที่หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูง และมีการหมุนวนและถ่ายเทก๊าซและอนุภาคต่าง ๆ ลงสู่หลุมดำอย่างต่อเนื่อง

Quote


ทำให้เกิดพลังงานจากสภาพเช่นนี้ ลำ Jet ทั้งบนและล่างถูกฉีดออกไปไกล 100-10,000 ปีแสง



Quasar มีความสว่างแท้จริงมากกว่าดวงอาทิตย์นับล้านล้านเท่า และสว่างเท่ากับใจกลางกาแลคซี่ทั้งดวง




"เรามีความจำเป็นต้องเฉียดเข้าไปที่นั่นมากแค่ไหน"
"ดาวดวงนั้นมีอารยธรรม และสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา พวกมันจะมีประโยชน์กับเรามากพอ ๆ กับดาวดวงจิ๋วของมัน"
"พวกเขา"
"ค่ะ พวกเขา ...จำเป็นกับเรา"
"มีเหตุผลที่ดีกว่านี้ไหม ฉันอยากได้เหตุผลและทฤษฎีที่ดีกว่านี้ ยานลำนี้ไม่ได้บรรทุกมาแค่พวกเรา"
"มินิสเตอร์ทุกท่านเห็นพ้องต้องกันค่ะ"
"โอ้ โห ใช้ไม้นี้เลยเหรอ เอาเลย งั้นก็ตามสบาย"
« Last Edit: July 31, 2015, 04:49:29 PM by Johan »

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #13 on: July 31, 2015, 05:13:12 PM »


จากการพยายามอ้อมฝ่าขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำยักษ์ส่งผลให้ Rexus เสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถเข้าสู่วงโคจรของดวงดาวเป้าหมายได้
Rexus ต้องลอยลำอยู่ในอวกาศ ในเวลาเดียวกับที่ทีมสำรวจและกองทหารได้ใช้ยานลำเลียงลงสู่ผิวดาว
แต่แรงโน้มถ่วงประหลาดของดาวดวงนี้ทำให้ยานลำเลียงถึงกับตกและกระแทกพื้นพังยับเยินจนไม่อาจบินขึ้นได้
ทั้งทีมสำรวจและเจ้าหน้าที่ต่างต้องปักหลักรอความช่วยเหลือจาก Rexus ที่น่าจะใช้เวลาซ่อมแซมตัวเองและปรับจูนนานถึง 1 ปี...

อัศวินสาวที่ลงมาจากยานเป็นคนแรก ๆ แหงนมองฟ้า ก้มมองดิน


"ไหนมังกรวะ ไม่เห็นมีสักตัว"


"ถ้าแฟนคลับมาได้ยินเข้าเรตติ้งเธอได้ดิ่งเหวแน่"

Offline Johan

Re: [STARLIGHT] Story
« Reply #14 on: August 03, 2015, 08:31:59 PM »


ดาวดวงนี้มีขนาดค่อนข้างเล็ก โคจรรอบดาวฤกษ์ 3 ดวง และมีดวงจันทร์บริวาร 7 ดวง
พื้นที่ของดาวเป็นผืนดินประมาณ 1/2 ของดาว ประกอบไปด้วยพื้นที่อันหลากหลายภูมิประเทศ แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นทุ่งหญ้าสลับป่าเขา
ผู้บุกเบิกกลุ่มแรกได้ตั้งชื่อให้กับดาวดวงนี้ว่า 'Ballet (บัลเล่ต์)' ตามชื่อของผู้ที่เหยียบลงมาบนดาวเป็นคนแรก ถึงแม้เธอจะพยายามแก้ไขว่าตัวเองชื่อ Bullet แต่ก็ไม่ทันแล้ว

Quote
"ฉันชื่อ White Bullet!! Bullet Bullet Bullet บุลเล็ท!! ไม่ใช่บัลเล่ต์!!"



ภายหลังจากลงมายังดาวดวงนี้ White Trooper ที่น่าจะได้รับคำสั่งจากราชินีก็ดำเนินการโจมตีชนเผ่าพื้นเมืองทันที
ภายใต้การนำของ Biore โดยมีกองทหารโคลน หรือ Clone Trooper เป็นกำลังรบหลัก



แต่ในเวลาเดียวกัน Black Trooper ที่ไม่ปรารถนาสงครามและต้องการสมานฉันท์กับชนพื้นเมืองก็พยายามที่จะต่อต้านในวิถีทางของตน
กระนั้น พวกเขาเองก็เป็นชนเผ่า Rex เช่นเดียวกับทหาร White Trooper คงประหลาดชะมัดหากพวกเขาจะเข้าข้างชนพื้นเมืองต่างดาว และต่อสู้กับ White Trooper ทั้งที่ร่วมยานกันมา



"ลองทำแบบนั้นคงไม่ได้กลับเข้ายานอีกแน่"



"ฉันจะไม่ช่วยพวกเธอ เพราะฉันไม่ใช่ทหาร"
"แต่ฉันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องต่อต้านขัดขวาง"



"ฉันด้วย? คำสั่งราชินี?"



"เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของเหม่ยซือและสเฟียร์ งานของเราคือการสนับสนุน ตามวิถีทางของฉัน"
"ฉันไม่คิดว่าการใช้กำลังเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่ฉันจะขัดขวางพวกเขา ตามวิถีทางของฉัน"
"สงครามจะไม่เกิดขึ้นบนดาวดวงนี้ พวกเราจะหันหน้าเข้าหากัน พวกเราจะปรองดองกัน และทุกฝ่ายจะมีความสุข ตามวิถีทางของฉัน"
ความคิดสมกับเป็น BB หัวหน้าหน่วย Black Trooper ที่ทำคะแนนภาคสนามได้ไม่ถึง 100

เมื่อต่างฝ่ายต่างก็มีเป้าหมายและแนวทางต่างกันไป บางทีจุดเริ่มของสงครามมันก็ไม่จำเป็นต้องเกิดจากสองฝ่ายเสมอไปหรอกนะ





"ฉันเป็นนีท ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน"
"เธอก็เริ่มจะอยากเป็นนีทเหมือนฉันแล้วใช่ไหม"