Event: The Planet → Epilogue"...สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะ" โกลด์ยิ้มละไมให้กับเมซาพลางยื่นเค้กให้ นับแต่ที่เมซา "เกิด" มา ก็ได้พบกับ "เพื่อน" มากมาย แต่คนที่สนิทที่สุดนั้นคือโกลด์ อดีตแอดวานเซอร์ที่ตอนนี้เป็นนักดนตรีมือสมัครเล่น
โกลด์เป็นเด็กสาวที่โดยพื้นฐานแล้วมีคุณลักษณะธรรมดาดาดดื่น ทั้งหน้าตาที่สวยระดับหนึ่งแต่ไม่ได้มีเสน่ห์ขนาดทำให้หนุ่มหลง ทั้งรูปร่างที่หุ่นดีแต่ก็ไม่ได้ทรงเสน่ห์ ทั้งอุปนิสัยที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และขยันขันแข็ง แต่ท่าทีดูเหมือนตัวประกอบเซ่อๆ หากจะให้เทียบกับคนที่คล้ายคลึง ก็คงจะเทียบได้กับคนที่ชื่อ C......อะไรสักอย่าง
ในบางครั้ง สภาพจิตใจของโกลด์ก็จะเปลี่ยนแปลงแบบขึ้นๆลงๆ บางครั้งจู่ๆก็โกรธ บางครั้งจู่ๆก็ทำตัวมีเลศนัย บางครั้งจู่ๆก็ทำตัวฮึดสู้แบบเต็มร้อย
จะบอกว่านั่นเป็นคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดาอย่างหนึ่งของโกลด์ก็ว่าได้
และเด็กสาวยังมีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดาอย่างที่สอง...โกลด์มาจากต่างโลก
มนุษย์ของดาวดวงนี้ส่วนใหญ่อพยพมาจากดาวดวงอื่นก็จริง แต่ "โลก" ที่โกลด์จากมานั้นแตกต่างจาก "โลก" ที่คนอื่นๆจากมามาก และจุดที่แตกต่างที่สุดก็คือ โลกของเธอยังอยู่ดีมีสุข ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าล่มสลายเลยแม้แต่น้อย
เหตุผลที่เด็กสาวออกมาจากโลกของเธอแล้วเข้าร่วมเดินทางในฐานะแอดวานเซอร์นั้นมีเพียงข้อเดียวเท่านั้น "เพื่อเก็บประสบการณ์"
เหมือนกับเด็กน้อยในบ้านอันแสนสุขออกมาลุยสงครามเพียงเพราะนึกอยากผจญภัย ทว่าเด็กคนนั้นไม่ได้ตายไปนับแต่วินาทีแรกที่เข้าสู่สมรภูมิ ซ้ำยังกลายเป็นวีรบุรุษเพราะโชคช่วย นั่นแหละคือโกลด์
เพียงแต่เธอไม่ได้ผ่านสงครามมาด้วยโชค แต่เป็นความสามารถในการต่อสู้ที่สูงผิดกับภายนอกเป็นอย่างมาก และนั่นคือคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดาอย่างที่สามของโกลด์
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นคือข้อมูลที่เมซารวบรวมมาได้ นับแต่ที่คบกับโกลด์มาหนึ่งปีเต็ม โดยเรื่องที่โกลด์มาจากโลกใบอื่นนั้น เจ้าหล่อนได้เล่าให้เมซาฟังเพียงคนเดียวเท่านั้น
"...ขอบคุณมาก" เมซากล่าวขอบคุณและรับเค้กมาทานอย่างเงียบๆ โดยที่เธอได้เตรียมจานและมีดส้อมพร้อมทานอย่างไม่เลอะเทอะ เหตุเป็นเพราะเมซาจริงจังไปหมดเสียทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องการรับประทานอาหาร และโกลด์ได้บอกล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่าจะทำเค้กวันเกิดมาให้ตน
"เรื่องเล็กน้อยจ๊ะ ก็เป็นเพื่อนกันนี่นา" โกลด์กล่าวเพียงเท่านั้น แล้วนั่งมองเมซาทานเค้กด้วยรอยยิ้มนิดๆโดยไม่พูดอะไรต่อจากนี้ เพราะจะโดนห้ามไม่ให้ชวนคุยระหว่างทานอาหาร
เมซาใช้เวลากินเค้กไม่นานนัก เพราะว่าเค้กที่โกลด์เตรียมมาให้นั้นมีขนาดเล็กแต่รสกลมกล่อม เครื่องจักรพิเศษนามเมซาได้ลิ้มรสสัมผัสของเค้กแสนนุ่มฟูที่มีรสหวานปนขมนิดๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้ทานเค้กช็อคโกแลตแท้ๆ แต่เธอกลับรู้สึกว่าหัวใจกำลังพองโตราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่เธอได้ทานมัน
'แปลกจังเลย..ทั้งๆที่ไม่มีหัวใจแท้ๆ แต่ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้นได้นะ?' เมซาเกิดความสงสัยขึ้นมาชั่วครู่ แต่สมองกลของเธอได้หยุดคิดเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว เพราะเธอต้องการที่จะมุ่งสมาธิไปที่การกินเค้กแสนอร่อยตรงหน้ามากกว่าการคิดเรื่องจุกจิกที่คิดไปก็ไม่ได้อะไร
เมซาตั้งใจ- ไม่สิ อยากจะบันทึกความทรงจำนี้เอาไว้ในเมโมรีส่วนลึก และจะไม่ลืมรสชาติของเค้กชิ้นนี้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอก็ตาม
"..." เมื่อเมซากลืนเค้กชิ้นสุดท้ายเข้าปากไป เธอก็ได้แต่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
"...อร่อย...จัง..." แล้วค่อยๆกล่าวคำพูดออกมาอย่างเชื่องช้า
คำพูดที่แสดงถึงความรู้สึกอันแสนเรียบง่ายและชัดเจน
คำพูดที่อยากจะแสดงออกมาให้ละเอียดอ่อนที่สุดเท่าที่จะทำได้่
"ใช่มั้ยล่ะ? ตั้งใจทำเป็นพิเศษเพื่อเธอเลยนะ" โกลด์โต้ตอบกับปฏิกริยาตอบรับของเมซาโดยที่ยังยิ้มไม่หุบ เด็กสาวไม่เข้าใจนักว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดช้าๆค่อยๆด้วย แต่หากอีกฝ่ายดีใจก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว
"แล้วต่อไป...ก็ของขวัญวันเกิดให้เธอล่ะ" โกลด์กล่าวต่อ เป็นธรรมเนียมของวันเกิดที่ผู้ให้จะมอบของขวัญแสนวิเศษให้กับเจ้าของวันเกิด
ทว่า เด็กสาวในตอนนี้ไม่ได้นำสิ่งอื่นใดที่นอกจากเค้กช็อคโกแลตชิ้นที่เพิ่งให้ไปเลย
ใช่แล้ว สิ่งที่เธอจะมอบเป็นของขวัญวันเกิดครบรอบหนึ่งปีให้แก่เมซาไม่ใช่วัตถุ แต่เป็น...
"เรื่องราวของฉันทั้งหมด ที่ไม่มีการปิดบังใดๆทั้งสิ้น"
โกลด์เล่าเรื่องของตัวเองให้เมซาฟัง
เรื่องเล่าของเธอนั้นเริ่มต้นที่จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งแรกของเธอ...วันที่เมืองที่อาศัยอยู่ได้เกิดภัยพิบัติอันแสนโหดร้ายขึ้น เด็กสาวในตอนนั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย จนสุดท้ายก็กระโดดลงแม่น้ำไปเพราะเสียสติไปแล้ว ร่างของโกลด์ได้ถูกพัดพาและดำดิ่งลงสู่ห้วงทะเลลึก และในตอนนั้นที่น่าจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตนั้นเอง ก็มีคนๆหนึ่งดำน้ำลงมามือฉุดแขนเธอขึ้นไป แต่แล้วเด็กสาวก็หมดสติไปก่อนที่เธอจะรู้ว่าคนๆนั้นเป็นใคร
เมื่อโกลด์ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง คนที่ช่วยเธอคนนั้นคงจะเป็นคนพาเธอมาที่นี่ และหากเด็กสาวรออยู่สักหน่อยก็คงจะได้พบเจอ แต่โกลด์ในตอนนั้นมีสติไม่สมประกอบ จึงหนีออกมาจากโรงพยาบาลแล้วเดินร่อนเร่ไปเรื่อยๆอย่างไร้ความหมาย จนได้พบกับวิญญาณเด็กหนุ่มที่เรียกตัวว่าว่าฮีโร่ผู้มีหัวใจดุจทองคำ"โกลเดนฮาร์ท" เขาได้ขอร้องให้โกลด์ช่วยให้เขาได้ใช้ร่างของเจ้าหล่อนไปปฏิบัติการในฐานะฮีโร่ เพราะความปราถนาที่จะปกป้องผู้คนของเด็กหนุ่มยังไม่หยุดลง แม้ตัวจะตายไปแล้วก็ตาม...และนี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งที่สอง
โกลด์ตัดสินใจยอมทำตามคำขอร้องของโกลเดนฮาร์ท และนับแต่ตอนนั้นมา หากมีอันตรายเกิดขึ้น เด็กสาวจะถูกวิญญาณฮีโร่เข้าสิงและกลายสภาพเป็นฮีโร่นาม "โกลเดนฮาร์ท" ด้วยภาพมายาที่สร้างร่างของโกลเดนฮาร์ทในสมัยที่ยังมีชีวิตมาทับซ้อนร่างของโกลด์เพือปกปิดตัวตน และพลังแห่งเพลิงศักดิ์ที่มอบพลังมหาศาลให้สามารถต่อสุ้กับเหล่าร้ายได้ ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เกิดมาจากพลังแห่งจิตวิญญาณอันล้นเหลือของโกลเดนฮาร์ทนั่นเอง
ร่างกายของโกลด์ได้ต่อสู้ในฐานะ "โกลเดนฮาร์ท" ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งถึงศึกครั้งใหญ่ที่ออกไปต่อสู้กับเหล่าเอเลี่ยนกลางอวกาศ ...และนั่นคือศึกสุดท้ายของโกลเดนฮาร์ท
ในที่สุดความปราถนาของโกลเดนฮาร์ทก็สมบูรณ์ เขาสามารถต่อสู้เพื่อปกป้องผู้คนจนถึงที่สุดได้ เขาในตอนนี้ไม่มีอะไรค้างคาใจแล้ว ทว่า พร้อมกันนั้นเอง ร่างกายของโกลด์ก็ถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน ร่างของเด็กสาวได้แต่ลอยเคว้งกลางอวกาศและทำได้เพียงรอความตาย และในช่วงเวลาเล็กน้อยก่อนที่จะสิ้นลมนั้นเอง...เธอก็ได้พบกับรถไฟที่วิ่งกลางอวกาศ
โกลด์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพบว่าตัวเองอยู่ในรถไฟที่วิ่งอยู่กลางอวกาศ และกำลังอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เธอไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวต้องตั้งสติไปครู่หนึ่งถึงจะสามารถฟังคำพูดของคนที่อยู่ในรถไฟรู้เรื่อง ไม่ใช่ว่าเหล่าคนแปลกหน้าพูดจากันคนละภาษากับเธอ หากแต่เด็กสาวปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ไม่ทัน
เมื่อได้สติแล้ว โกลด์ก็ได้รับรู้ว่ากลุ่มคนแปลกหน้านั้นได้รับข่าวมาว่าเธอกำลังทุกข์ทรมานตั้งแต่ที่เกิดภัยพิบัติที่เมืองของเธอ จึงต้องการช่วยดึงเจ้าหล่อนออกมาจากความทรมานนั้น พวกเขาไม่อาจจะทำเรื่องใหญ่โตอย่างฟื้นฟูเมืองให้สมบูรณ์ได้ก็จริง แต่ถ้าอย่างน้อยๆถ้าพาเธอออกมาจากหายนะและให้การรักษาอย่างจริงจังละก็คงจะช่วยเยียวยาได้... การเข้าไปช่วยเหลือเด็กสาวในช่วงแรกๆนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น จู่ๆเจ้าตัวก็หายตัวไประหว่างที่ส่งไปรักษาในโรงพยาบาล พวกเขาจึงตัดสินใจออกเดินทางและเก็บเบาะแสเพื่อตามหาเด็กสาว จนมาถึงกลางอวกาศแห่งนี้
พอมาฟังจนถึงตอนนี้แล้ว โกลด์ก็จำขึ้นมาได้ว่าคนที่ดำน้ำลงมาช่วยเหลือเธอคล้ายคลึงกับเด็กชายผมทรงดาวที่อยู่ในกลุ่ม...ไม่สิ คนที่ดำน้ำลงมาช่วยเหลือเธอคือเด็กชายคนนี้อย่างแน่นอน ชื่อของเขาคนนี้คือดารา เขาเป็นผู้ที่ริเริ่มความคิดที่จะช่วยเหลือโกลด์
เด็กสาวที่ชื่อว่าโกลด์ได้ถูกเด็กชายที่ชื่อดาราช่วยชีวิตเอาไว้ ซ้ำยังสองครั้ง
แม้ว่าจู่ๆเธอจะหายตัวไปตามใจตัวเอง ก็ไม่คิดจะล้มเลิก
ถึงจะไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย ก็ยังจะทำ
ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ไม่ควรติดตามเด็กชายและพรรคพวก
เด็กสาวก้าวเท้าเข้าสู่จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งที่สามด้วยตัวเอง
โกลด์เข้ามาเดินทางในหอคอยปริศนา เด็กสาวได้คิดตัดสินใจที่จะเดินทางสายไอดอลเฉกเช่นเดียวกับไอดอลคนโปรดที่ชื่อซิลเวอร์ (และที่น่าประหลาดใจมากก็คือซิลเวอร์กับผู้จัดการอยู่ในหอคอยแห่งนี้ เธอจึงถือโอกาสไปขอทำงานร่วมกับพวกเขาเลย) แต่เด็กสาวในตอนนั้นยังไม่มีอะไรดีนอกจากพละกำลัง เธอจึงเริ่มออกเดินทางค้นหาตัวเอง และระหว่างนั้นก็ได้พบกับเอลฟ์ผมขาวคนหนึ่ง เธอคนนั้นได้มาเชิญชวนให้เธอมาเป็นแอดวานเซอร์ที่ค้นหาที่อยู่ใหม่ให้กับดวงดาวที่ล่มสลายไปแล้ว โดยบอกว่าที่แห่งนั้นจะทำให้เธอได้พบเจอกับประสบการณ์ "น่าสนุก" มากมาย
เมื่อเด็กสาวตอบตกลง โกลด์ก็ถูกเวทมนตร์ข้ามมิติส่งมาที่ยานของผู้อพยพ และได้พบว่าในมือของเธอมีโน้ตที่เขียนคำแนะนำเอาไว้ว่า "ถ้าอยากจะแข็งแกร่งขึ้นละก็ จงบ้าซะ" แต่นั่นไม่สำคัญเท่าที่ว่าโกลด์ได้เริ่มหน้าที่ของแอดวานเซอร์นับแต่ตอนนั้นเป็นต้นไป จนมาถึงการสำรวจครั้งสุดท้ายในฐานะแอดวานเซอร์...
เมซาได้รับฟังเรื่องเล่าของโกลด์ตั้งแต่ต้นจนจบ
เป็นเรื่องราวที่เธออยากจะรู้มานับแต่เริ่มรู้จักโกลด์ แต่ที่ผ่านๆมาโกลด์ไม่เคยเล่าให้ฟังเลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยที่อีกฝ่ายให้เหตุผลว่ามันดูไม่น่าเชื่อถือเลย แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ให้คำสัญญาว่าจะเล่าให้ฟังเมซาฟังคนเดียวเมื่อถึงวันเกิดครบรอบหนึ่งปีของเธอ หรือก็คือวันนี้นี่เอง
พอได้ฟังเรื่องเล่าจริงๆแล้ว เมซาก็พอจะเข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้โกลด์ถึงไม่เล่าให้ฟัง เพราะแม้จะคิดเผื่อเอาไว้แล้วว่าเรื่องราวจะต้องเหลือเชื่อแน่นอน แต่พอมาฟังจริงๆแล้วตอนนี้ก็ยังรู้สึกทำใจเชื่อไม่ได้เลย
น่าแปลก ที่เรื่องเล่าของโกลด์ทำให้เมซานึกถึงเหล่ามนุษย์ในดาวดวงนี้ที่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้อยู่กับธรรมชาติได้อย่างงดงาม มาคิดๆดูแล้ว...ภาพของสังคมตรงหน้านั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้มหัศจรรย์อะไรมากมาย เพราะนี่คงจะเป็นผลลัพธ์จากพลังของมนุษย์...หากแต่ว่าพลังนั้นไม่ใช่ปัญญาหรอกนะ เพราะ
พลังที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นศักยภาพในการวิวัฒนาการต่างหากนั่นคือข้อสรุปที่เมซาคิดขึ้นมาเอง
เมซาคิดไปพลางหันมามองเหล่ามนุษย์ที่กำลังทำงานหนักเป็นผึ้งงาน...แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นชายที่เธอไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าจะได้พบเจอในตอนนี้ เมซาตกใจจนทำจานเปล่าๆตกพื้น
"โกลด์.....เธอรู้จักคนๆนี้หรือเปล่า?" เมซาทักโกลด์ที่มองมาที่เมซาตลอดนับแต่ที่เริ่มคุยกันมา และไม่ได้สิ่งอื่นเลย
"เอ๊ะ...หมายความว่ายังไงเหรอจ-...." โกลด์หันไปมองทิศเดียวกับที่เมซากำลังมองอยู่ แล้วก็ได้แต่อึ้ง
เพราะภาพตรงหน้าของเธอคือเด็กชายที่มีผมคล้ายกับดาวแบบเดียวกับที่โกลด์เล่าไปเมื่อก่อนหน้านี้
ไม่ผิดตัวแน่ เด็กคนนี้นคือ...
"กลับกันเถอะครับ...ผมมารับคุณแล้ว"
เด็กสาวคนหนึ่งยืนเหม่ออยู่ที่ชายหาดยามเย็น
เธอเป็นผู้ที่ผ่านพ้นภัยพิบัติต่างๆมาแล้วมากมาย
เจ้าหล่อนเคยทั้งเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ ต่อสู้เพื่อผดุงความยุติธรรม และบุกเบิกดาวดวงใหม่
แต่ในตอนนี้ สภาพของเธอในตอนนี้ไม่ฉายแววของผู้แข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย
"ทำอะไรอยู่น่ะครับ?" เด็กชายคนหนึ่งที่เคยช่วยเธอเอาไว้สองครั้งกล่าวทักเธอ
"อ๊ะ! มะ ไม่มีอะไรหรอกนะ" เด็กสาวสะดุ้ง เธอหันมาข้างหลังด้วยท่าทีตื่นตระหนกนิดๆ
"อะ...งั้นสินะครับ...อ๊ะ...? นี่คุณจะทำอะไรน่ะครับ?" เด็กชายถามทักเมื่อพบว่าท่าทีของเด็กสาวมีอะไรแปลกๆ แต่ 'อะไรแปลกๆ' ที่ว่านั้นไม่ใช่อาการตื่นตระหนกของเด็กสาว...
เด็กชายพบว่าเด็กสาวกำลังถือขวดใส่จดหมายจำนวนไม่น้อยอยู่เต็มสองมือ
"อะ...อุ๊บตาย...คือ...ชั้นคิดจะส่งจดหมายน่ะ..." เด็กสาวให้คำตอบอย่างติดๆขัดๆ "แต่ก็คงจะไม่ได้เรื่องหรอก เพราะชั้นไม่รู้ว่าคนที่จะส่งจดหมายอยู่ที่ไหน" เธอพูดต่อ "แต่ก็ยังอยากจะ เลยคิดจะใช้จดหมายขวดส่งผ่านทะเลนี้โดยหวังลมๆแล้งๆว่าจะส่งไปถึงคนที่ต้องการได้...งี่เง่าเนอะ?"
"..." เมื่อได้ยินเช่นนี้ เด็กชายก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวต่อว่า...
"ไม่งี่เง่าหรอกครับ บางทีคุณอาจจะคิดถูกแล้วที่คิดจะส่งจดหมายขวดผ่านทะเลนี้"
"...?" เด็กสาวงุนงง สายตาของเธอชัดเจนว่ากำลังสงสัยว่าเด็กชายพูดเรื่องอะไร
"ที่นี่คือทะเลที่เชื่อมต่อกับความรู้สึกของต่างโลกน่ะครับ" เด็กชายอธิบายเพิ่มเติม แต่ดูเหมือนว่านั่นจะทำให้เด็กสาวงงยิ่งกว่าเดิม
"พูดอะไรของเธอกันน่ะ...? เชื่อมโยงอะไรกัน" เด็กสาวตอบโต้เด็กชายอย่างงุนงง
"อ๊ะ...เรื่องนี้คงจะเข้าใจยากหน่อยล่ะน้า..." เด็กชายกล่าวพลางเกาหัวแกรกๆ เขาพยายามอธิบายว่าทะเลแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่รับ-ส่งกระแสความรู้สึกจากโลกต่อโลก
"สาเหตุที่ผมรู้ว่าคุณในอดีตที่อยู่ต่างโลกกำลังทรมาน ก็เพราะว่ากระแสความรู้สึกด้านลบของพวกคุณได้พัดพามาที่นี่น่ะครับ" เขากล่าวต่อ
"...ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างนะ แต่มันเกี่ยวอะไรกับจดหมายขวดพวกนี้เหรอ?" เด็กสาวเอ่ยถามเด็กชาย แล้วมองมาที่เหล่าจดหมายขวดในมือทั้งสองข้างของตน
"ผมว่านะ...หากคุณตั้งมั่นเอาไว้ในใจถึงความปราถนาที่จะส่งข้อความแก่ผู้คนเหล่านั้นละก็ จดหมายเหล่านั้นอาจจะถูกคลื่นซัดพาไปยังจุดหมายที่ต้องการก็ได้นะครับ...?" เด็กชายให้คำตอบไปตามความคิดเห็นของตัวเอง...
"...มันจะง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอ?" เด็กสาวเอ่ยถาม เพราะเมื่อฟังคำพูดของเด็กชายแล้ว ความสงสัยก็เกิดขึ้นมาในใจ เพราะคำพูดของเด็กชายมีแต่คำว่า "อาจจะ" ไม่ก็ "คงจะ"
"ไม่รู้หรอกครับ" เด็กชายตอบโต้ไปตามความคิดที่ดูเอาแน่เอานอนไม่ได้ "แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ความเป็นไปได้ก็จะเป็นศูนย์น่ะครับ"
"..." ได้ยินแบบนั้น เด็กสาวก็เดินตรงหน้าไป แล้วเอาจดหมายขวดทั้งหมดลงทะเล จากนั้นก็หลับตากุมมืออธิษฐานโดยไม่ได้พูดอะไรอีก...
แล้วเหล่าขวดจดหมายก็ถูกคลื่นซัดพา แยกกระจายไปสู่เป้าหมายที่เธออธิษฐานไว้...เหล่าคนสำคัญในความทรงจำของเด็กสาว...
"ถ้าไปถึงจุดหมายได้ ก็คงจะดีล่ะน้า..." เด็กชายบ่นพึมพัมพลางมองภาพตรงหน้าของเขา
END