1 เดือนต่อมาพายุหิมะพัดผ่านไป เปลี่ยนเป็นแสงแดดที่แผดเผาผืนดินจนแตกระแหง
สำหรับฝ่าย Grisia นั้นอากาศที่ร้อนอบอ้าวในช่วงกลางวันเป็นอุปสรรคขัดขวางการเคลื่อนทัพเข้าโจมตีเมือง Nabi อย่างมาก
แลเมื่อตะวันตกดินเหล่า Necromancer ก็บันดาลให้กองทัพวิญญาณออกมาประจัญบานแทนเหล่าทหารจนฝ่าย Grisia ต้องล่าถอย เป็นอยู่เช่นนี้มาแล้ว 1 สัปดาห์
Lord Sorromon ได้นำทัพด้วยตนเองมาตลอด นั่นยิ่งสร้างขวัญและกำลังใจให้เหล่าทหารอย่างมาก ทั้งที่เดิมทีมีข่าวว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วจากโรคระบาด
อย่างไรก็ตาม กำลังทหารได้ร่อยหรอเหลือไม่ถึง 200 นายแล้ว หากจะบอกว่าที่ผ่านมาเป็นเพราะกองทัพวิญญาณที่คอยปกปักรักษาเมืองก็คงไม่ผิด
"โซโรมอนเอ๋ย แกถึงกับต้องพึ่งมนตร์คาถาปลุกศพเชียวหรือนี่ ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ ใบหน้าหล่อเหลาใต้หน้ากากของแกในตอนนี้มันจะเป็นยังไงกันนะ"
Baros ระเบิดเสียงหัวเราะใส่หน้าของ Sorromon แล้วกระแทกคมอาวุธเข้าใส่เป็นพัลวันในการดวลกันระหว่างทั้งสองกลางสนามรบ
ทั้งสองรู้จักกันเนื่องจากเคยปะทะกันมาหลายครั้ง และทุกครั้งจะเป็น Baros ที่พ่ายแพ้เสมอจนกระทั่งครั้งนี้ที่ Baros เสริมพลังมาด้วยอาคมวูดูทำให้เขาแข็งแกร่งเหนือมนุษย์
"บรรพบุรุษของพวกเราชาวไกรซียาคือผู้ครองแผ่นดินทั้งหมดในไลซาส มันไม่ใช่ที่อยู่ของพวกแกไอ้ลิงเผือก!! ไสหัวออกไปซะ"
* Lyzas คือชื่อเรียกดินแดนของ 2 อาณาจักร Mamluc และ Grisia (ชาวมามลุคเรียกไกรสิอา/ไกรเซีย แต่สำนวนการออกเสียงพื้นบ้านคือ ไกรซียา)
กำปั้นเหล็กของ Baros ฟาดหน้า Sorromon จนแทบจะหงายหลังล้มลงไป หน้ากากของเขาแตกไปส่วนหนึ่ง
และก่อนที่คมดาบของ Baros จะบั่นคอท่านลอร์ดอันเดดกลับมีนางแม่มดแดงปรากฎกายออกมาหยุดดาบนั้นอย่างน่าขัดใจ
"สายันต์สวัสดิ์ สหายที่รักยิ่ง..." Milune ปรากฎตัวขึ้นพร้อมวิญญาณบริวารที่แข็งแกร่งซึ่งยกเคียวขึ้นมารับคมดาบของ Baros และยื้อยุดเอาไว้ชั่วครู่หนึ่ง
"...สหาย ที่เคยรักยิ่ง" เธอกล่าวแก้ใหม่อีกครั้ง แต่ก่อนที่ Baros จะถูกคำสาปหินคมอาวุธของขุนพลเอกคนหนึ่งก็ถาโถมเข้าใส่
วิญญาณที่เชื่อว่าร้ายกาจอันดับต้น ๆ เท่าที่หมอผีคนหนึ่งจะมีมันได้ถูกบั่นคอขาดกระเด็นในเวลาไม่นานนักในการปะทะกัน
ด้วยฝีมือของขุนพลที่คล้ายจะก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
"ได้โปรดทำให้ข้าสนุกยิ่งกว่านี้ มิล" เธอเรียก Milune ด้วยชื่อที่สนิทสนม
"โธ่เอ๊ย ไหนผีไหนคนเนี่ย!" Magga หันไปมองรอบ ๆ หลังขว้างลูกตุ้มฟาดขุนศึกคนหนึ่งด่าวดิ้น
เธอดูจะมีปัญหาในการแยกแยะพวกเดียวกันกับข้าศึก แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่านมาเธอเป็นอีกหนึ่งกำลังหลักที่ฆ่าฟันศัตรูไปมากมาย
"เคยปั้นวัวปั้นควายหรือเปล่า" ดาบยาวฉาบอาคมของ Reriel สะบั้นแขนและตัดคอนายกองไปอีกสองคน
แม้ว่า Reriel จะไม่ค่อยได้ออกรบแนวหน้าเพราะมีหน้าที่เป็นองครักษ์เสียมากกว่า แต่ฝีมือของเธอก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า Magga เลย
อย่างไรก็ตาม การที่ทั้งสองแข็งแกร่งขึ้นมาได้ขนาดนี้ก็เพราะยาชูกำลังชนิดพิเศษของคุณหมอ Laliel นี่แหละ
"พวกท่านดื่มมันเข้าไปกี่ขวดเนี่ย!?" Laliel อุตส่าห์กำชับแล้วว่าอย่าดื่มเกินครั้งละ 2 ขวด ไม่อย่างนั้นจะมีผลข้างเคียง
และดูเหมือนสองคนนั้นกับทหารอีกจำนวนหนึ่งจะดื่มไปมากกว่านั้น ซึ่งพวกเขายอมรับผลข้างเคียงนั้น
Spoiler for Hiden:
"ถ้าเกินสองขวดจะมีชีวิตอยู่ได้จนสิ้นฤทธิ์ยาเหรอ" Reriel อ่านฉลากข้างขวดแล้วถามย้ำกับคุณหมอ ก่อนจะเปิดดื่มขวดที่สาม
"ยิ่งดื่มเยอะยิ่งเก่งใช่มั้ย งั้นข้าขอสี่ขวด"
Magga ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบอ่านฉลาก"เจ้าน่าจะลองปั้นควายดูสักครั้งก่อนตาย" Reriel มีท่าทางพะอืดพะอมหลังดื่มขวดที่ห้า
"เจ้าปั้นไปคนเดียวเหอะ เอิ๊ก..."
Magga ท่าทางจะอาการหนักกว่าเมื่อเปิดดื่มขวดที่เจ็ด ทั้งสองไม่มีห่วงอะไรอีก ชีวิตก็เป็นของตัวเอง ตัดสินใจเองได้ว่าจะอยู่หรือตาย
Ghost General ถูกเรียกออกมา มี Himeko ตามหลังไปคุ้มกัน Ghost General
และมี Chao ที่สั่งการอยู่หลังสุด รายล้อมด้วยวิญญาณผีอีกหลายตน รวมถึง Ryuk และ Ametist
กลุ่มย่อยผู้ควบคุมวิญญาณพบว่าไอแสงที่แผ่ซ่านออกมาวูบวาบด้านหนึ่งสามารถทำลายและปลดปล่อยวิญญาณของเหล่า Necromancer ได้
ไม่พอ มันยังสามารถบังคับให้ภูติผีของ Necromancer หันมาทำร้ายผู้เป็นนายที่อ่อนแอเกินกว่าจะควบคุมมันได้เสียด้วย!
นักบวชที่ว่าสวมหน้ากากอันโตคล้ายกับจะเป็นทั้งหน้ากากและโล่ไปด้วย มันทำจากไม้ที่มีน้ำหนักเบา แต่หนามากพอจะป้องกันได้กระทั่งขวานขนาดเล็ก
ถึงแม้ว่า Himeko จะสังหารไปได้ 2 คน และ Chao จะจัดการไปได้อีกคน แต่พวกมันกลับลุกขึ้นมาได้อีกคล้ายกับเป็นเพียงตุ๊กตาที่ถูกเชิด
ถึงแม้ชาว Grisia จะเรียกว่านักบวช แต่เนื้อแท้แล้ววิชาอาคมที่ใช้ก็คือหมอผีอีกสายหนึ่งที่ชาว Mamluc เรียกว่า Vodun (หมอผีวูดู)
Ghost Soldier ต่อสู้จนสลายหายไปพร้อมนักบวชคนหนึ่ง (อุปสรรคไม่ได้ระบุว่า HP รวม ถือว่าแยก HP ของใครของมัน)
แต่ Ghost General ยังทำหน้าที่ได้อย่างดี มันฆ่านักบวชไปได้อีกคนทั้งที่มันควรจะอ่อนแอเมื่อต่อสู้กับนักบวช
และในขณะที่หัวหน้านักบวชกำลังตื่นตระหนก Sakuya ก็ไม่พลาดที่จะพุ่งเข้าไปเสียบแทงตัดขั้วหัวใจเพื่อพิชิตเจ้าวายร้ายของสนามรบเสีย ณ เวลานี้
"ข้าลืมบอกเจ้าไป ดาบเล่มนี้ได้รับการปลุกเสกมาให้ฆ่าวิญญาณไร้หลักอย่างแกนี่ไง" Baros ที่เสียบดาบทะลุหลัง Lord Sorromon กล่าวขึ้นก่อนจะดึงมันออก
ปรากฎดวงไฟสีเขียวอมฟ้าพวยพุ่งออกมาจากร่องปากแผลและความเจ็บปวดทรมานที่ทำให้ Sorromon ถึงกับต้องร้องออกมา
Milune ที่ต้องถอยไปควบคุมวิญญาณต่อสู้อีกด้านหันมาเห็นก็แทบเป็นลมสิ้นสติเสียเดี๋ยวนั้น เธอกรีดร้องแล้วผละตัวออกมาจนแทบจะบินไปหา Sorromon
เพราะนั่นหมายความว่าดวงวิญญาณของ Sorromon จะพ้นพันธนาการของอาคม และจะถูกดึงดูดโดยกฎแห่งธรรมชาติให้กลับสู่ความว่างเปล่า
"ไปอยู่ด้วยกันซะ" Barara ขุนพลเอกของ Baros ไม่ปล่อยโอกาสนั้น
เธอพุ่งฝ่าวิญญาณที่ไร้การควบคุมไล่หลังแล้วเสียบดาบทะลุกายของ Milune ในอึดใจเดียว ก่อนจะดึงดาบออกมาแล้วหมุนสะบัดฟันร่างนั้นจนศีรษะหลุดกระเด็น
ภาพที่ Lord Sorromon เห็นถึงกับทำให้หัวใจของเขาแตกสลายลงในเวลานั้น เขาแผดเสียงอย่างไม่เป็นภาษาก่อนที่ร่างนั้นจะแตกสลายหายไป
และเสียงหัวเราะอย่างสะใจที่ดังลั่นพร้อมการทุบเกราะอกเสียงดังไม่แพ้กันก็คือสัญญาณแห่งชัยชนะของฝ่าย Grisia ที่ Baros เป็นผู้นำมันมาให้กองทัพของเขา
Magga เห็นดังนั้นก็วิ่งเข้าหา Baros โดยมี Reriel ไล่ตามมาติด ๆ สวนทางกับทหารส่วนใหญ่ที่แตกทัพหนีไปพร้อม Necromancer อีกหลายคน
การศึกนี้เป็นกลลวงของฝ่าย Grisia ที่รู้เรื่องราวต่าง ๆ ในเมืองมากพอสมควรจนเตรียมการตั้งรับเอาไว้ได้ แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องอะไร
Baros ที่ได้รับอำนาจจากอาคมปลุกเสกนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาก ความผิดพลาดของ Lord Sorromon คือการมั่นใจว่าจะชนะศึกนี้อย่างแน่นอนจึงออกมาจากเมือง ซึ่งไม่สมควร
และการพ่ายศึกในครั้งนี้อาจจะนับได้ว่าเป็นครั้งแรกนับแต่ Lord Sorromon เข้ามาครองเมือง Nabi
ไม่เพียงทหารที่แตกทัพหนีไป เหล่า Necromancer ที่เห็นว่าไม่มีผู้ว่าจ้างจะมาจ่ายเงินให้กับพวกเขาแล้วก็พากันหนีไปจากเมืองเช่นกัน
เมือง Nabi จึงแทบจะกลายเป็นเมืองร้างก็ไม่ผิดนัก และอีกไม่นานนักกองทัพ Grisia ก็จะยกทัพที่มีเหลืออยู่ราว 300 คนมายึดเมืองนี้