Gungnir Genesis II : God's Guillotine
The End of Fantasyเพลงประกอบ : Final Sorceryโลกจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
แผนการโค่นล้มสวรรค์ขององค์ดีวอนที่ 4 ดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีใครหน้าไหนต่อกรกับเขาได้เลย แม้จะได้รับการสนับสนุนจากองค์เทพธิดาก็ตาม
กองกำลังน้อยใหญ่ กองกำลังแล้วกองกำลังเล่าถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว เด็ดขาด ผู้ต่อต้านถูกสั่งประหารในทันที อย่างไม่มีข้อแม้
สุดท้าย เมื่อไม่มีทางเลือก องค์เทพธิดาจึงต้องนำทัพสวรรค์ลงมาต่อกรด้วยตนเอง และการเจรจาก็ไม่ประบสบความสำเร็จใด ๆ เลย
พื้นดินแตกระแหง ก้อนเมฆหายไปจากท้องฟ้า ไม่มีตะวันและจันทราอยู่ยาวนานสิบวันสิบคืน ทุกอย่างราวกับกำลังจะถึงจุดจบ
สมรภูมิแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ซากเมืองโบราณสถานแห่งมายา ที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ ๆ ผนึกเสาของโลก ทุกอย่างที่นี่เป็นเพียงความมายา
ยกเว้นเพียงแค่อย่างเดียว คือผนึกอันทรงพลัง ที่ชาวเมืองเมื่อครั้งอดีตสละชีพสร้างขึ้นมา เพื่อผนึกสิ่งทรงพลังอย่างเสาของโลก
และในครั้งนี้ องค์ดีวอนที่ 4 ก็นำผนึกนั้น มาใช้การกักขังองค์เทพธิดาเอาไว้ และถึงแม้จะไม่สำเร็จ ครึ่งหนึ่งของเทพธิดาก็สูญสลายไปตลอดกาล
อีกครึ่งหนึ่งนั้น ว่ากันว่าหนีไปได้ หนีไปยังที่ไกลแสนไกล และจะไม่มีวันกลับมาที่นี่อีก
ที่หนึ่งในสมรภูมิ ร่างของคน 3 คนกำลังเริงระบำอยู่ แม้สงครามจะจบไปแล้ว แต่ไฟในตัวของทั้งหมดก็ยังไม่มอดดับลง
คนหนึ่งอยู่ในเกราะดำแกมม่วง ร่างนั้นเป็นมนุษย์ แต่เมื่อมองอีกครั้งกลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด และกลับมาเป็นอีกครั้ง สลับไปมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด
ร่างนั้นกำลังประมือกับสองนักรบหญิงในเกราะแดงเพลิง ครั้งหนึ่งทั้งคู่เคยได้ชื่อ "ดาบและโล่แห่งสวรรค์" แต่ตอนนี้ฉายานั้นไม่มีค่าอะไรแล้ว
เทพธิดาไม่อยู่แล้ว ทั้งคู่รู้ตัวดีว่าตนเองทำหน้าที่ของตนผิดพลาด แต่ทั้งคู่ไม่มีวันสูญสลาย ดังนั้นทั้งคู่จึงจะสู้ต่อไปแม้จะไม่มีทางชนะ
"หยุดเสีย เจ้าตุ๊กตาที่น่าเศร้า" องค์ดีวอนที่ 4 ที่น้อยคนนักจะรู้จักในนามจอมมาร...Maou Gungnir รับดาบของวัลไครีคนหนึ่ง
แม้เขาจะเก่งกาจ แต่การต่อกรกับนักรบแห่งสวงสวรรค์ที่เก่งที่สุดถึง 2 คนพร้อม ๆ กัน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ และเขาก็เป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่าโจมตี
เขารู้ดี ว่าการเป็นฝ่ายตั้งรับนั้น ไม่ต่างจากการนับถอยหลังรอเวลาแพ้ และเขาจะแพ้ไมไ่ด้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้การเกลี้ยกล่อมเข้ามาช่วย
"บอกที่อยู่ของดาบของข้ามา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าทั้งคู่ไป"
"การต่อสู้จะจบลงด้วยการกระทำ มิใช่คำพูด !!" วัลไครี่ผู้พี่ตวาดใส่ทันที เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
เขาต้องการดาบปักษาทมิฬ ดาบที่มีเพียงเล่มเดียวในโลก ว่ากันว่าดาบนั้นมีพลังอำนาจสุดจะหยั่งถึง
ไม่มีใครรู้ที่มาของดาบเล่มนั้นอย่างแน่ชัด อยู่ ๆ ดาบเล่มนั้นก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับ Maou Gungnir
และก่อนที่จะมีใครรู้ตัว ดาบเล่มนั้นก็สร้างความเสียหายไปไม่น้อยแล้ว แต่เมื่อหลายปีก่อน มีกลุ่มผู้กล้าไปแย่งชิงดาบเล่มนั้นมาได้
ดาบเล่มนั้นถูกส่งให้ "โล่สวรรค์" อัศวินแฝดผู้น้องเป็นผู้นำไปเก็บรักษา
"ไม่มีคำพูดใดของปีศาจร้ายที่เชื่อถื..." วัลไครีผู้น้องพูดไม่ทันจบประโยค ลำแสงสีดำอมม่วงก็ทะลวงอกเธอจนทะลุอย่างไม่ทันตั้งตัว
ชุดเกราะของเธอกลายเป็นรูขนาดใหญ่ และเริ่มถูกกัดกร่อนไปด้วยลำแสงนั้นทีละน้อย ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างตื่นตกใจ
"ถูกอย่างที่พี่ของเจ้าว่า การต่อสู้ไม่ได้จบลงด้วยคำพูด" เขามองอีกฝ่ายที่ถอยออกไปด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
"เจ้าทั้งคู่ไม่มีวันตายก็จริง แต่นั่นก็เป็นเรื่องดี ในเมื่อเจ้าไม่บอก เจ้าทั้งคู่ก็จงมาเป็นส่วนหนึ่งของยุคใหม่เสีย"
"นี่มัน...อะไรกัน" วัลไครีผู้พี่ลดดาบลงอย่างลังเล เธอมองบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไป ทุกอย่างเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นทีละน้อย
เมื่อเธอมองไปยังน้องสาวฝาแฝดของตนเองก็ยิ่งตกใจมากขึ้น ร่างของโล่แห่งสวรรค์แปรเปลี่ยนเป็นวัตถุสีแดงเพลิง
ไม่ เรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้ ทั้งคู่มีฐานะเป็นรองเพียงแค่เทพธิดาเท่านั้น แต่ทั้งคู่ก็ยังจัดเป็นเทพระดับสูง
การจะแปรสภาพให้เธอกลายเป็นสิ่งของนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ จะบอกว่าเจ้ามนุษย์ตรงหน้ามีพลังอำนาจเหนือกว่าสวรรค์อีกอย่างนั้นหรือ
"ข้าไม่หลงติดกับภาพลวงตานั้นหรอก" เธอพูด จากนั้นก็กระชับดาบในมือ พุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย แต่ความลังเล และความสับสนก่อเกิดขึ้นในใจของเธอแล้ว
"ในเมื่อเจ้ามีความสุขที่จะเป็นตุ๊กตานัก ก็จงเป็นไปตราบชั่วกาลปวสาน"
ภาพสุดท้ายที่วัลไครีผู้พี่มองเห็น คือความมืดที่ไม่อาจหยั่งถึงได้
...
จอมมารยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในเมืองแห่งมายา เขากุมวัตถุทรงกระบอกอยู่ในมือ จากนั้นเขาก็ขยี้วัตถุทรงกระบอกนั้นจนแหลกเป็นผุยผง
เขาไม่ได้หัวเราะ แต่เขาก็ไมไ่ด้ร้องไห้ เขาไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ออกมา นอกจากสีหน้าเฉยชา ทุกอย่างล้วนอยู่ในใจของเขาเพียงผู้เดียว
เหมือนกับแผนการ และอุดมการณ์ทั้งหมดของเขา ที่จะไม่มีใครอื่นที่จะรับรู้อีก
ไกลออกไป ที่ธารน้ำแข็งขนาดยักษ์บนพื้นพิภพ เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังกวัดแกว่งมือไปในอากาศ
"แม่มดน้อยลู่ลู่ !!"
"แม่มดน้อยลู่ลู่ !!"
"แม่มดน้อยลู่ลู่ !!"
เธอพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ เหมือนแผ่นเพลงตกร่อง มือที่กวัดแกว่งอยู่ในอากาศนั้นควรจะมีอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
เธอเอียงคอมอง จากนั้นก็พูดประโยคเดิม และโบกมือไปมาอยู่อีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างเงียบสงบ
เดี๋ยวสิ หิมะหยุดตกไปตั้งแต่เมื่อไรกัน...
ไกลออกไป...ไกลโพ้นออกไป อาจจะไกลแสนไกลยิ่งกว่าที่ ๆ เทพธิดาหนีไป
"..." หญิงสาวในชุดแม่มดสะดุ้ง เธอรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่รู้จักมาก่อน จากนั้นเธอก็รู้สึกอ่อนแรง และรู้สึกหน้ามืดขึ้นมา
เธอไม่ได้ป่วย หรือถูกทีฟาโซล่าถูลู่ถูกังไปทั่วจนเหนื่อยจนเกินไป แต่เหมือนกับมีพลังบางอย่างหายไปจากร่างของเธอ
กาลเวลาไม่เคยหยุดเดิน ยุคสมัยขององค์ดีวอนที่ 4 ผ่านไปกว่า 200 ปีแล้ว และแม้จะมีพลังอำนาจมากมายเพียงใด เขาก็เสียชีวิตไปนานแล้ว
เหตุการณ์ทุกอย่างในยุคสมัยของเขา แปรเปลี่ยนจากเรื่องจริงเป็นประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องเล่า เรื่องเล่าเป็นตำนาน และตำนานเป็นนิทานก่อนนอน
แสงไฟจากตะเกียงดวงหนึ่ง สั่นไหวไปตามแรงลมจากหน้าต่างที่ถูกเปิดอยู่
"แล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นเทพธิดาอีกเลย" ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ในมือกางหนังสือเล่มโต
เขานั่งอยู่ข้างเตียง และกำลังอ่านหนังสือนิทานให้ลูกสองคนที่นอนอยู่บนเตียงฟัง
"แล้ว ๆ เทพธิดาหายไปไหนเหรอครับ" คนเป็นลูกถามขึ้นอย่างสงสัย
"เทพธิดาไม่ได้หายไปไหนหรอก เธออยู่ในตัวของเราทุกคน" ผู้เป็นพ่อยิ้มตอบ ลูบหัวลูกชายของตนเอง จากนั้นก็หันไปดับตะเกียง
"เอาล่ะ ดึกแล้ว นอนซะนะ"
แต่เด็กทั้งสองคนยังไม่หลับ ทั้งคู่รอให้ผู้เป็นพ่อออกไปจากห้อง จากนั้นก็หันไปนอนมองแสงดาวบนท้องฟ้าด้วยกัน
"พี่คิดว่าเวทมนตร์มีจริงหรือเปล่า ?" น้องชายถามขึ้น
"ไม่รู้สิ แต่แม่บอกว่าเรื่องแบบนั้นมีแต่ในนิทานนี่นา" พี่ชายทำท่าใช้ความคิด จากนั้นก็ตอบน้องชายของเขา
"ผมว่านะ วัลไครีต้องสวยมากแน่ ๆ เลย"
"พี่อยากเจอทีโอดอร์มากกว่านะ ขนาดเขาตาบอดยังเป็นอัศวินที่เก่งมากขนาดนั้นได้เลย"
"ผมเชื่อนะ ว่าเวทมนตร์มีอยู่จริง"
"ถ้ามีจริง ๆ ล่ะก็ ที่นี่ต้องเป็นโลกที่วิเศษมาก ๆ เลย"
"ต้องมีสิ พ่อยังเคยเล่าเรื่องแม่มดในทุ่งน้ำแข็งให้เราฟังเลยนี่นา"
"พี่ชอบเรื่องหอสมุดที่มีอัศวินในเกราะขาวมากกว่านะ"
"ใช่ ๆ เรื่องนั้นก็สนุก เกเบรียลเท่มากเลยนะ"
"เวทมนตร์ต้องมีอยู่จริงแน่ ๆ เลย"
"พี่ก็ว่าอย่างนั้นนะ พ่อน่ะชอบโกหกตลอด...ใช่ ๆ วันก่อนพ่อโกหกแม่เรื่องเงินค่ากับข้าวด้วยนะ แม่งี้หน้าเขียวเปนยักษ์เลย"
...
ไกลออกไป บนท้องฟ้าสีดำมืด ระหว่างที่สองพี่น้องกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดทั้งคืน
ผงละอองสีแดงเพลิงจาง ๆ กำลังเริงระบำอยู่บนนั้น ไม่มีใครเห็น และไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตนแม้แต่คนเดียว
End