Baron's Bloody Library

Now Playing => Eternal Land => Eternal Realm => Gaia Ground => Topic started by: Thyself on November 09, 2015, 12:15:15 AM

Title: Gungnir Genesis II : God's Guillotine (ปิด | จบเกม)
Post by: Thyself on November 09, 2015, 12:15:15 AM
Gungnir Genesis II : God's Guillotine
เทพนิยายผู้กล้าปราบกลียุค 2 : แท่นประหารเทพ


(http://www.uppic.org/image-F0AB_53989ADA.jpg)

เรต : PG13+
แนวเกม : แฟนตาซี , ผจญภัย , โรลเพลย์ , ไม่มีลูกเต๋า
ความยาวของเกม : ประมาณ 1 เดือน



นานแสนนานมาแล้ว เทพธิดาก่อกำเนิดขึ้นจากแสงสว่างและความมืด นางอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าอย่างโดดเดี่ยว
นานแสนนานมาแล้ว เทพธิดาเหม่อมองความว่างเปล่า นางกางฝ่ามือออก ไม้เท้าในมือขวาเปล่งแสงขึ้น


(http://www.uppic.org/image-5937_53873694.jpg)

"Birth..."

พื้นพิภพถือกำเนิดขึ้นเพียงแค่นางเอ่ยปาก

...

นั่นเป็นตำนานการก่อกำเนิดของ Gaia เมื่อนานมาแล้ว เป็นนิทานที่เล่ากันรุ่นสู่รุ่น ไม่มีใครหาเครื่องยืนยันได้ แต่ไม่มีใครหาข้อโต้แย้งได้เช่นกัน
เป็นเวลานานหลายพันปี ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีสุข บนดินแดนของแสงอาทิตย์อ่อนโยน ใบหญ้าพริ้วไหว สายน้ำชุ่มชื่น และสายลมแผ่วเบา

แต่แล้วก็ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อดินแดน Gaia ประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ทั้งพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว อากาศวิปริต
ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากและธรรมชาติเกือบทั้งหมดต้องตายลงไป พื้นพิภพกลับเข้าสู่ความแห้งแล้ง ก่อเกิดกลียุคขึ้น ผู้คนปล้นฆ่าแย่งชิงกันทุกหัวระแหง

ในตอนนั้นเอง เทพธิดาได้ลงมายังพื้นพิภพ นางกล่าวว่า "เสาของโลก" หรือ Gungnir หายสาบสูญไป
เสานี้มีไว้เพื่อค้ำจุนความสมดุลและความสงบสุขของพื้นพิภพ แต่มันกลับถูกใครบางคนขโมยไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน

นักเดินทางจำนวนมากจึงร่วมมือกันออกตามหา "เสาของโลก" เพื่อยุติกลียุคครั้งนี้

และนั่น ก็เป็นเรื่องของเมื่อ 2 ปีก่อน...




สายลมพัดพาเรื่องราวเก่า ๆ ให้ผ่านหายไป และนำเอาเรื่องราวใหม่ ๆ มาเยือน
เป็นเวลา 2 ปีแล้ว ที่กลียุคยุติลงจนได้ หลังจาก "เสาของโลก" ถูกนำกลับไปไว้ยังที่ ๆ มันควรจะอยู่ตั้งแต่ต้น

เมืองดีวาลยังคงสงบสุข แต่แนวทางการปกครองก็เปลี่ยนแปลงไป พร้อมกับการเปลี่ยนอำนาจของผู้ครองเมือง
องค์ดีวอนที่สามสละราชบังลังก์ และไปใช้ชีวิตบั้นปลายอันสงบสุขที่หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมด

จากนั้นองค์ดีวอนที่สี่ก็ขึ้นครองราชย์ เขาปรับเปลี่ยนแนวทางของเมือง จากเมืองที่เน้นการค้าเป็นหลัก กลายเป็นเมืองที่เน้นการรบเป็นหลัก
ภายในระยะเวลาปีแรก เขาฝึกกองทหารที่มีมากมายอยู่แล้วให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างผิดหูผิดตา และใช้เวลานั้นสะสมเสบียง และยุทโธปกรณ์ไปพร้อม ๆ กัน
จากนั้นอีกไม่ถึงปี เขาก็ยาตราทัพออกไปพิชิตเมืองใหญ่ทั้งสี่ ทั้งทางเหนือ ใต้ ตะวันออก และทางตะวันตก จนแตกพ่ายอย่างง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ

ผู้คน ขุนนาง และทหารในเมืองดีวาลเปลี่ยนไป บ้างก็ว่ากลายเป็นอสูร ปีศาจ เครื่องจักร คอยรอรับคำสั่งจากองค์ดีวอนที่สี่อย่างที่ไม่คิดจะโต้แย้ง

"เราจะเป็นเพียงตัวหมากของเทพธิดาอีกนานเท่าใด ? เรามีชีวิต เราไม่ต้องคอยก้มหน้าหวาดกลัวเทพธิดาอีกต่อไปแล้ว"
ประกาศิตราวสายฟ้าฟาดขององค์ดีวอนที่สี่ ถูกส่งตรงออกมาจากราชวัง เป็นสาส์นที่เด่นชัดว่าต้องการประกาศสงคราม

และประกาศสงครามกับสวรรค์


ปิดรับสมัคร

ใบสมัคร : ผู้เล่นจะรับบทเป็นผู้นำกองกำลังขนาดเล็ก ที่คอยต่อต้าน (หรือร่วมมืออย่างลับ ๆ) กับองค์ดีวอนที่สี่ตลอดช่วงเวลา 2 ปีมานี้
สามารถใช้ตัวละครเดิม จาก Gungnir Genesis ภาคแรกได้
ระบบพื้นฐานต่าง ๆ ที่ควรอ่าน (http://baron.wudthipan.com/forum/index.php?topic=1764.msg165583#msg165583)

รูปภาพตัวละคร : รูปภาพขนาด 120 x 120 ขอให้เห็นหน้าชัดเจน ไม่เห็นตัวก็ไม่เป็นไร (หน้าตาตัวละครมีผลต่อการเล่น)
ชื่อ : ชื่อของตัวละคร เกมจะเป็นแนวแฟนตาซียุคกลาง ฝั่งยุโรป แต่จะมีชื่อแนวเอเชีย หรืออียิปต์มาก็ได้ ไม่จำกัด
ประวัติ : ตัวละครเป็นใคร มาจากไหน และกำลังจะทำอะไร ยิ่งใส่มาเก่งกาจมาก เกมก็ยิ่งยากมากขึ้น
อื่น ๆ : ข้อมูลอื่น ๆ ที่อยากใส่ อาจจะมีผลต่อเนื้อเรื่องหรือไม่มีก็ได้ เช่น เป็นจอมเวทย์ที่ยกน้ำหนักได้ถึง 10 ตัน เป็นนักดาบที่แพ้โลหะ

ค่าสถานะ : มีแต้มเริ่มต้นให้ 16 แต้ม เพื่อนำไปใส่ค่าต่าง ๆ และค่าสถานะจะติดลบไม่ได้
   - HP : ค่าความเสียหายที่ตัวละครจะรับได้ ถ้าเป็น 0 จะไม่ตาย เพียงแต่จะไม่สามารถต่อสู้ หรือทำอะไรอื่น ๆ ได้ (Max 6)

   - Str : กำลังกาย ส่งผลต่อการใช้แรง การใช้อาวุธระยะประชิด และการใช้มือเปล่าต่อสู้ (Max 7)
   - Agi : ความว่องไว ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ การเคลื่อนไหว การหลบหลีก (Max 7)
   - Int : ความฉลาด ส่งผลต่อการใช้เวทมนตร์ การไขปริศนาต่าง ๆ และการขบคิด (Max 7)
   - Dex : ความแม่นยำ ส่งผลต่อการใช้อาวุธระยะไกล เช่น ธนู หน้าไม้ ปาก้อนหิน (Max 7)

   - Lds : ความเป็นผู้นำ ส่งผลต่อการควบคุม การดูแล และการออกคำสั่งต่อตัวละครอื่น ๆ และการดูแลพื้นที่ของตนเอง (Max 7)

   - Skl : จำนวน Skill ที่ตัวละครสามารถสวมใส่ได้ หาได้จาก (Int + Dex) / 2 (Max 8) ไม่ต้องใส่แต้ม
   - Inv : จำนวน Item ที่ตัวละครสามารถถือเอาไว้ได้ หาได้จาก (Str + Agi) / 2 (Max 8) ไม่ต้องใส่แต้ม
   - Pss : จำนวน Skill และ Item ที่ตัวละครจะเก็บเอาไว้ได้ หาได้จาก (Str + Agi + Int + Dex) / 3 (Max 9) ไม่ต้องใส่แต้ม

   - Atk : พลังโจมตีของตัวละคร มีพื้นฐานที่ 1 (ไม่มี Max) ไม่ต้องใส่แต้ม
   - Def : พลังป้องกันของตัวละคร มีพื้นฐานที่ 1 (ไม่มี Max) ไม่ต้องใส่แต้ม



ระดับของค่าสถานะ : เทียบได้ ดังนี้
   - ค่าสถานะ 0 แต้ม : ระดับพิกลพิการ เช่น Str 0 ก็เป็นง่อย , Int 0 ก็ปัญญาอ่อน พูดไม่เป็น ไม่เข้าใจภาษา , Dex 0 ก็ตาบอด หูหนวก
   - ค่าสถานะ 1-2 แต้ม : ระดับต่ำ เช่น Str 1 ก็ร่างกายอ่อนแอมาก เหมือนผู้หญิงอายุ 10-12 ปี , Int 1 ก็พูดได้ แต่อ่านเขียนไม่ได้
   - ค่าสถานะ 3-4 แต้ม : ระดับปานกลาง เป็นระดับที่คนปรกติจะมีกัน ทำอะไรได้เหมือนคนปรกติทั่วไป
   - ค่าสถานะ 5-6 แต้ม : ระดับสูง เช่น Str 5 ก็ยกของได้มากกว่าคนทั่วไป , Int 5 ก็คิดค้น และคิดคำนวณสูตรต่าง ๆ ได้
   - ค่าสถานะ 7 แต้ม : ระดับอัจฉริยะในรอบ 10 ปี มีพรวรรค์ตั้งแต่กำเนิด เช่น Str 7 ก็ต่อยคนกระดูกหักได้ด้วยมือเปล่า , Int 7 ก็พูดได้ตั้งแต่อายุครึ่งขวบ

สอบถามได้ >> ที่นี่ (http://baron.wudthipan.com/forum/index.php?topic=1765.0) <<

Title: Re: Gungnir Genesis II : God's Guillotine (ปิด | จบเกม)
Post by: Thyself on December 06, 2015, 06:42:39 PM
Gungnir Genesis II : God's Guillotine
The End of Fantasy


เพลงประกอบ : Final Sorcery (https://www.youtube.com/watch?v=KEDy7VA4ztI)

(http://www.uppic.org/image-253B_53BD3A17.jpg)

โลกจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป

แผนการโค่นล้มสวรรค์ขององค์ดีวอนที่ 4 ดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีใครหน้าไหนต่อกรกับเขาได้เลย แม้จะได้รับการสนับสนุนจากองค์เทพธิดาก็ตาม
กองกำลังน้อยใหญ่ กองกำลังแล้วกองกำลังเล่าถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว เด็ดขาด ผู้ต่อต้านถูกสั่งประหารในทันที อย่างไม่มีข้อแม้

สุดท้าย เมื่อไม่มีทางเลือก องค์เทพธิดาจึงต้องนำทัพสวรรค์ลงมาต่อกรด้วยตนเอง และการเจรจาก็ไม่ประบสบความสำเร็จใด ๆ เลย
พื้นดินแตกระแหง ก้อนเมฆหายไปจากท้องฟ้า ไม่มีตะวันและจันทราอยู่ยาวนานสิบวันสิบคืน ทุกอย่างราวกับกำลังจะถึงจุดจบ

สมรภูมิแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ซากเมืองโบราณสถานแห่งมายา ที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ ๆ ผนึกเสาของโลก ทุกอย่างที่นี่เป็นเพียงความมายา
ยกเว้นเพียงแค่อย่างเดียว คือผนึกอันทรงพลัง ที่ชาวเมืองเมื่อครั้งอดีตสละชีพสร้างขึ้นมา เพื่อผนึกสิ่งทรงพลังอย่างเสาของโลก
และในครั้งนี้ องค์ดีวอนที่ 4 ก็นำผนึกนั้น มาใช้การกักขังองค์เทพธิดาเอาไว้ และถึงแม้จะไม่สำเร็จ ครึ่งหนึ่งของเทพธิดาก็สูญสลายไปตลอดกาล

อีกครึ่งหนึ่งนั้น ว่ากันว่าหนีไปได้ หนีไปยังที่ไกลแสนไกล และจะไม่มีวันกลับมาที่นี่อีก




ที่หนึ่งในสมรภูมิ ร่างของคน 3 คนกำลังเริงระบำอยู่ แม้สงครามจะจบไปแล้ว แต่ไฟในตัวของทั้งหมดก็ยังไม่มอดดับลง

คนหนึ่งอยู่ในเกราะดำแกมม่วง ร่างนั้นเป็นมนุษย์ แต่เมื่อมองอีกครั้งกลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด และกลับมาเป็นอีกครั้ง สลับไปมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด
ร่างนั้นกำลังประมือกับสองนักรบหญิงในเกราะแดงเพลิง ครั้งหนึ่งทั้งคู่เคยได้ชื่อ "ดาบและโล่แห่งสวรรค์" แต่ตอนนี้ฉายานั้นไม่มีค่าอะไรแล้ว

เทพธิดาไม่อยู่แล้ว ทั้งคู่รู้ตัวดีว่าตนเองทำหน้าที่ของตนผิดพลาด แต่ทั้งคู่ไม่มีวันสูญสลาย ดังนั้นทั้งคู่จึงจะสู้ต่อไปแม้จะไม่มีทางชนะ

(http://www.uppic.org/image-55C0_53C6B50A.jpg)

"หยุดเสีย เจ้าตุ๊กตาที่น่าเศร้า" องค์ดีวอนที่ 4 ที่น้อยคนนักจะรู้จักในนามจอมมาร...Maou Gungnir รับดาบของวัลไครีคนหนึ่ง
แม้เขาจะเก่งกาจ แต่การต่อกรกับนักรบแห่งสวงสวรรค์ที่เก่งที่สุดถึง 2 คนพร้อม ๆ กัน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ และเขาก็เป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่าโจมตี
เขารู้ดี ว่าการเป็นฝ่ายตั้งรับนั้น ไม่ต่างจากการนับถอยหลังรอเวลาแพ้ และเขาจะแพ้ไมไ่ด้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้การเกลี้ยกล่อมเข้ามาช่วย

"บอกที่อยู่ของดาบของข้ามา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าทั้งคู่ไป"

(http://www.uppic.org/image-32ED_538B16A5.jpg)

"การต่อสู้จะจบลงด้วยการกระทำ มิใช่คำพูด !!" วัลไครี่ผู้พี่ตวาดใส่ทันที เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

เขาต้องการดาบปักษาทมิฬ ดาบที่มีเพียงเล่มเดียวในโลก ว่ากันว่าดาบนั้นมีพลังอำนาจสุดจะหยั่งถึง
ไม่มีใครรู้ที่มาของดาบเล่มนั้นอย่างแน่ชัด อยู่ ๆ ดาบเล่มนั้นก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับ Maou Gungnir
และก่อนที่จะมีใครรู้ตัว ดาบเล่มนั้นก็สร้างความเสียหายไปไม่น้อยแล้ว แต่เมื่อหลายปีก่อน มีกลุ่มผู้กล้าไปแย่งชิงดาบเล่มนั้นมาได้

ดาบเล่มนั้นถูกส่งให้ "โล่สวรรค์" อัศวินแฝดผู้น้องเป็นผู้นำไปเก็บรักษา

(http://www.uppic.org/image-BB3B_538B16A5.jpg)

"ไม่มีคำพูดใดของปีศาจร้ายที่เชื่อถื..." วัลไครีผู้น้องพูดไม่ทันจบประโยค ลำแสงสีดำอมม่วงก็ทะลวงอกเธอจนทะลุอย่างไม่ทันตั้งตัว
ชุดเกราะของเธอกลายเป็นรูขนาดใหญ่ และเริ่มถูกกัดกร่อนไปด้วยลำแสงนั้นทีละน้อย ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างตื่นตกใจ

(http://www.uppic.org/image-55C0_53C6B50A.jpg)

"ถูกอย่างที่พี่ของเจ้าว่า การต่อสู้ไม่ได้จบลงด้วยคำพูด" เขามองอีกฝ่ายที่ถอยออกไปด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

"เจ้าทั้งคู่ไม่มีวันตายก็จริง แต่นั่นก็เป็นเรื่องดี ในเมื่อเจ้าไม่บอก เจ้าทั้งคู่ก็จงมาเป็นส่วนหนึ่งของยุคใหม่เสีย"

(http://www.uppic.org/image-32ED_538B16A5.jpg)

"นี่มัน...อะไรกัน" วัลไครีผู้พี่ลดดาบลงอย่างลังเล เธอมองบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไป ทุกอย่างเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นทีละน้อย
เมื่อเธอมองไปยังน้องสาวฝาแฝดของตนเองก็ยิ่งตกใจมากขึ้น ร่างของโล่แห่งสวรรค์แปรเปลี่ยนเป็นวัตถุสีแดงเพลิง

ไม่ เรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้ ทั้งคู่มีฐานะเป็นรองเพียงแค่เทพธิดาเท่านั้น แต่ทั้งคู่ก็ยังจัดเป็นเทพระดับสูง
การจะแปรสภาพให้เธอกลายเป็นสิ่งของนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ จะบอกว่าเจ้ามนุษย์ตรงหน้ามีพลังอำนาจเหนือกว่าสวรรค์อีกอย่างนั้นหรือ

"ข้าไม่หลงติดกับภาพลวงตานั้นหรอก" เธอพูด จากนั้นก็กระชับดาบในมือ พุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย แต่ความลังเล และความสับสนก่อเกิดขึ้นในใจของเธอแล้ว

(http://www.uppic.org/image-55C0_53C6B50A.jpg)

"ในเมื่อเจ้ามีความสุขที่จะเป็นตุ๊กตานัก ก็จงเป็นไปตราบชั่วกาลปวสาน"

ภาพสุดท้ายที่วัลไครีผู้พี่มองเห็น คือความมืดที่ไม่อาจหยั่งถึงได้

...

จอมมารยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในเมืองแห่งมายา เขากุมวัตถุทรงกระบอกอยู่ในมือ จากนั้นเขาก็ขยี้วัตถุทรงกระบอกนั้นจนแหลกเป็นผุยผง
เขาไม่ได้หัวเราะ แต่เขาก็ไมไ่ด้ร้องไห้ เขาไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ออกมา นอกจากสีหน้าเฉยชา ทุกอย่างล้วนอยู่ในใจของเขาเพียงผู้เดียว

เหมือนกับแผนการ และอุดมการณ์ทั้งหมดของเขา ที่จะไม่มีใครอื่นที่จะรับรู้อีก


ไกลออกไป ที่ธารน้ำแข็งขนาดยักษ์บนพื้นพิภพ เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังกวัดแกว่งมือไปในอากาศ

(http://www.uppic.org/image-A083_53A84706.jpg)

"แม่มดน้อยลู่ลู่ !!"

"แม่มดน้อยลู่ลู่ !!"

"แม่มดน้อยลู่ลู่ !!"

เธอพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ เหมือนแผ่นเพลงตกร่อง มือที่กวัดแกว่งอยู่ในอากาศนั้นควรจะมีอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
เธอเอียงคอมอง จากนั้นก็พูดประโยคเดิม และโบกมือไปมาอยู่อีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างเงียบสงบ

เดี๋ยวสิ หิมะหยุดตกไปตั้งแต่เมื่อไรกัน...


ไกลออกไป...ไกลโพ้นออกไป อาจจะไกลแสนไกลยิ่งกว่าที่ ๆ เทพธิดาหนีไป

(http://www.uppic.org/image-F306_538B16A5.jpg)

"..." หญิงสาวในชุดแม่มดสะดุ้ง เธอรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่รู้จักมาก่อน จากนั้นเธอก็รู้สึกอ่อนแรง และรู้สึกหน้ามืดขึ้นมา
เธอไม่ได้ป่วย หรือถูกทีฟาโซล่าถูลู่ถูกังไปทั่วจนเหนื่อยจนเกินไป แต่เหมือนกับมีพลังบางอย่างหายไปจากร่างของเธอ



กาลเวลาไม่เคยหยุดเดิน ยุคสมัยขององค์ดีวอนที่ 4 ผ่านไปกว่า 200 ปีแล้ว และแม้จะมีพลังอำนาจมากมายเพียงใด เขาก็เสียชีวิตไปนานแล้ว
เหตุการณ์ทุกอย่างในยุคสมัยของเขา แปรเปลี่ยนจากเรื่องจริงเป็นประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องเล่า เรื่องเล่าเป็นตำนาน และตำนานเป็นนิทานก่อนนอน

แสงไฟจากตะเกียงดวงหนึ่ง สั่นไหวไปตามแรงลมจากหน้าต่างที่ถูกเปิดอยู่

"แล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นเทพธิดาอีกเลย" ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ในมือกางหนังสือเล่มโต
เขานั่งอยู่ข้างเตียง และกำลังอ่านหนังสือนิทานให้ลูกสองคนที่นอนอยู่บนเตียงฟัง

"แล้ว ๆ เทพธิดาหายไปไหนเหรอครับ" คนเป็นลูกถามขึ้นอย่างสงสัย

"เทพธิดาไม่ได้หายไปไหนหรอก เธออยู่ในตัวของเราทุกคน" ผู้เป็นพ่อยิ้มตอบ ลูบหัวลูกชายของตนเอง จากนั้นก็หันไปดับตะเกียง

"เอาล่ะ ดึกแล้ว นอนซะนะ"

แต่เด็กทั้งสองคนยังไม่หลับ ทั้งคู่รอให้ผู้เป็นพ่อออกไปจากห้อง จากนั้นก็หันไปนอนมองแสงดาวบนท้องฟ้าด้วยกัน

"พี่คิดว่าเวทมนตร์มีจริงหรือเปล่า ?" น้องชายถามขึ้น

"ไม่รู้สิ แต่แม่บอกว่าเรื่องแบบนั้นมีแต่ในนิทานนี่นา" พี่ชายทำท่าใช้ความคิด จากนั้นก็ตอบน้องชายของเขา

"ผมว่านะ วัลไครีต้องสวยมากแน่ ๆ เลย"

"พี่อยากเจอทีโอดอร์มากกว่านะ ขนาดเขาตาบอดยังเป็นอัศวินที่เก่งมากขนาดนั้นได้เลย"

"ผมเชื่อนะ ว่าเวทมนตร์มีอยู่จริง"

"ถ้ามีจริง ๆ ล่ะก็ ที่นี่ต้องเป็นโลกที่วิเศษมาก ๆ เลย"

"ต้องมีสิ พ่อยังเคยเล่าเรื่องแม่มดในทุ่งน้ำแข็งให้เราฟังเลยนี่นา"

"พี่ชอบเรื่องหอสมุดที่มีอัศวินในเกราะขาวมากกว่านะ"

"ใช่ ๆ เรื่องนั้นก็สนุก เกเบรียลเท่มากเลยนะ"

"เวทมนตร์ต้องมีอยู่จริงแน่ ๆ เลย"

"พี่ก็ว่าอย่างนั้นนะ พ่อน่ะชอบโกหกตลอด...ใช่ ๆ วันก่อนพ่อโกหกแม่เรื่องเงินค่ากับข้าวด้วยนะ แม่งี้หน้าเขียวเปนยักษ์เลย"

...

ไกลออกไป บนท้องฟ้าสีดำมืด ระหว่างที่สองพี่น้องกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดทั้งคืน
ผงละอองสีแดงเพลิงจาง ๆ กำลังเริงระบำอยู่บนนั้น ไม่มีใครเห็น และไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตนแม้แต่คนเดียว

End