* ห้องโถงรับแขก

Refresh History
  • Johan: [link]
    July 21, 2023, 11:25:58 AM
  • Johan: อันนี้ครับ
    July 21, 2023, 11:26:02 AM
  • Johan: จริงๆไม่เชิงลงแข่งเพราะเป็นพาร์ทเนอร์กับบุสดีอยู่แล้วเลยอดชิงรางวัลที่ 1 2 3 (3000 บาท...) ก็จะไม่ไปแย่งรางวัลส่วนนี้กับหน้าใหม่ แต่ลงเพื่อชิงรางวัลเซ็นสัญญา รางวัลอันนี้ไม่จำกัด ได้เงินเยอะมาอุดส่วนที่ต้องเอาไปจ่ายให้นักวาด
    July 21, 2023, 11:28:55 AM
  • Johan: ช่วงก่อนวันที่ 10 เลยต้องเร่งเตรียมไฟล์ + เขียนเรื่องไว้เปิดตัวให้ปังๆ เพราะงบวาดนี่แพงเข้าเนื้อ วาดเยอะไม่ไหว มาเน้นการนำเสนอด้วยเส้นเรื่องหลายทางเลือกดีกว่า
    July 21, 2023, 11:31:12 AM
  • lostlance: งี้นี่เองงง
    July 21, 2023, 07:09:04 PM
  • Qiao: อยากเล่นแนว fear and hunger 1-2 ก็ได้
    August 28, 2023, 10:56:33 PM
  • lostlance: ผมว่าเกมมันหลอนไป
    August 31, 2023, 10:47:07 AM
  • Johan: สลัดทั้งงานราษฎร กับงานหลวงไม่ออก น่าจะมาต่อสักใกล้ๆปลายปีนะครับ
    September 29, 2023, 06:48:36 PM
  • Bloody Rabbits: รออยุ่ว
    September 29, 2023, 10:01:26 PM
  • lostlance: ที่โพสใหม่นั้นสแปมหรืออะไรน่ะ
    October 05, 2023, 02:12:26 PM
  • Chao: ยังแอบมาต่อนะเออ
    December 02, 2023, 01:55:59 AM
  • Johan: สวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้ทุกคนยุ่งๆงานเยอะๆ
    January 01, 2024, 11:30:01 AM
  • Johan: อยากมาต่อ แต่เคลียรืเวลาไม่ลงตัวเลย
    January 01, 2024, 11:30:18 AM
  • Johan: Chao: ยังแอบมาต่อนะเออ <<< ตอบแล้วๆ (เกมบ้าอะไรฟระ โพสละครึ่งปี)
    January 01, 2024, 11:35:44 AM
  • lostlance: สวัสดีปีใหม่ครับบ
    January 01, 2024, 08:58:21 PM

Author Topic: เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับยุค Medieval  (Read 6481 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Luca

อาจจะมีประโยชน์กับคนที่คิดจะทำเกมนะครับ ผมเขียนจากสิ่งที่รู้มา ไม่ได้อ้างอิงจากไหน ผิดพลาดขออภัย


สงสัยไหมว่านิยายหรือเกมแฟนตาซีทั้งหลายที่มีอัศวินนี่มันคือยุคไหน
ถึงจะบอกว่าแฟนตาซี แต่แทบทุกเรื่องจะต้องมีการยืนพื้นที่ยุคนั้นๆ เพราะมันไม่ง่ายนักที่จะปั้นโลกขึ้นมาสักโลกหนึ่ง

ถ้าเราเขียนเกมสักเกมเราต้องมีเนื้อหาและเรื่องราว เราอาจจะบอกอย่างภาคภูมิใจว่าก็นี่มันแนวแฟนตาซี มันคือจินตนาการที่ฉันคิดขึ้น ไม่ได้คิดจะลอกประวัติศาสตร์มาเสียหน่อย แต่ในเรื่องกลับมีอัศวินขี่ม้าชื่อแลนซลอต อาวุธของพระเอกเป็นดาบเอ็กซคาลิเบอร์ของพระเจ้าอาเธอร์.... (แถมคนเขียนไม่รู้อีกต่างหากว่าเอ็กซคาลิเบอร์มันมีที่มายังไง คิดว่ามาจากไฟนอลแฟนตาซีด้วยซ้ำ โอ้วมายก็อด)

หากเราไม่ได้คิดทุกอย่างขึ้นใหม่หมดเราควรจะรู้ที่มาที่ไปของสิ่งที่เราหยิบยืมมาเพื่อใช้เป็นฐานในการผูกความเป็นไปได้ต่างๆ เข้าด้วยกัน
เนื้อหาที่สมเหตุสมผลจะทำให้เนื้อเรื่องของเราแน่น ดูน่าเชื่อถือ ผู้เล่นจะเข้าถึงและคาดการณ์ความเป็นไปต่างๆ ได้ดีกว่าเนื้อหาที่ไร้ตรรกะและยืนอยู่บนเมฆ
หากเราถูกถามคำถามเกี่ยวกับที่มาหรือเหตุผลของสิ่งนั้นๆ เราควรตอบได้ เหมือนผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการพันล้านหมื่นล้านแต่ดันไม่รู้เรื่องพื้นฐานหน้างานที่พวกคนงานทำนี่ก็ไม่ไหวใช่ไหม (ถ้าผู้รับเหมากลวงขนาดไม่รู้อะไร ไม่ไปคุมงานเอง ก็โดนคนงานสูบหมดล่ะนะ)
การบอกว่าไร้เหตุผลก็เป็นคำตอบได้ในบางกรณีแต่ไม่ใช่ทุกกรณี



ยุคนี้เรียกว่ายุคกลาง (Middle Ages) ก็ได้


 

Offline Luca

สืบเนื่องมาจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ทำให้ยุโรปแตกออกเป็นหลายกลุ่ม ชนเผ่าอานารยะทั้งหลายได้เข้ามาครอบครองยุโรป ทั้งแฟรงค์ แซกซอน เยอรมัน ฯลฯ
และเพราะการเข้ามาของชนเผ่าเหล่านี้ทำให้การปกครองและวัฒนธรรมต่างๆ เปลี่ยนไปจากเดิม หลายต่อหลายสิ่งตกต่ำลง หลายอย่างหายไป ความงดงามและศิลปะก็คือหนึ่งในสิ่งที่ถูกทำลายไป ยุคกลางจึงถูกเรียกในอีกชื่อว่า ยุคมืด



ระบอบการปกครองที่ถูกนำมาใช้คือศักดินาสวามิภักดิ์ (ต่างจากของไทย) เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ระบอบการปกครองตนเอง โดยการยกที่ดินให้ขุนนางปกครองกันเอง ขุนนางก็จะมีหลายระดับชั้น ทั้ง ดยุก เอิร์ล เคาท์ บารอน ฯลฯ
อัศวินไม่ใช่ขุนนาง แต่สูงกว่าสามัญชนทั่วไป หรือทาสติดที่ดิน ด้วยระบอบการปกครองนี้จึงทำให้ในยุคกลางไม่มีทหารอาชีพ

ในยามศึกสงคราม กษัตริย์จะเรียกเหล่าขุนนางทั้งหลายในดินแดนของตนให้ยกกำลังพลมาช่วยรบ ขุนนางทั้งหลายก็จะเอาอัศวินของตนเองและเกณฑ์ชาวบ้านมารบ และแน่นอนว่าต้องมีขุนนางบางคนที่มีอำนาจเหนือกษัตริย์ ขุนนางคนนั้นอาจจะเมินเฉยต่อกษัตริย์ของตน
ชาวบ้านหลายคนอาจจะเอาอุปกรณ์ทำนามาสู้รบ เวลารบก็ไม่มีระเบียบแบบแผนอะไร ลำดับขั้นทางทหารก็ไม่มี มีแค่ทหารชาวนา อัศวิน ขุนนาง และกษัตริย์ ซึ่งแม่ทัพอาจจะหมายถึงผู้นำทัพในครั้งนั้น แต่ไม่ได้หมายถึงคนๆ นั้นมียศแม่ทัพ
เมื่อสงครามจบก็กลับไปทำมาหากินตามปกติ ไม่ได้มาฝึกยิงธนู ฝึกเดินทัพอะไร

ซึ่งต่างจากในยุคโรมันที่มีการฝึกทหารอาชีพ มีการวางแผนการต่างๆ และมีแบบแผนในการรบ มีลำดับขั้นของทหาร มีตำแหน่งแม่ทัพ ฯลฯ
« Last Edit: January 07, 2012, 02:57:53 PM by Luca »

Offline Luca



ยุคนี้ไม่มีพิธีการอะไรมาก ทุกอย่างจะง่ายๆ เป็นเรื่องปกติที่กษัตริย์จะเดินปะปนเคียงบ่ากับอัศวินชนิดที่เราอาจจะแยกไม่ออกถ้าอยู่ในสนามรบ
ไม่มีการแต่งองค์ทรงเครื่องอลังการแล้วมีข้าราชบริพานยืนเรียงแถวให้เห็นสักเท่าไหร่ อัศวินสามารถยืนคุยกับกษัตริย์ได้

อาหารการกินก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดี แต่น่าจะเรียกว่าไม่มีศิลปะและความพิถีพิถันในการปรุงถึงจะถูก ประมาณว่าจับกุ้งจับปูทะเลได้ก็เอามาย่าง ใส่ถาด ใส่ปาก อิ่ม

Offline Luca



อาวุธในยุคนี้เป็นแบบผลิตจำนวนมาก และคุณภาพก็แย่ตามจำนวนการผลิตเมื่อเทียบกับยุคก่อน
ส่วนชุดเกราะจะนิยมใช้เกราะโซ่แล้วสวมเสื้อผ้าทับอีกชั้น
โดยปกติพวกที่สวมเกราะมักจะเป็นอัศวิน ชาวบ้านทั่วไปไม่มีปัญญาหามาสวมได้ อัศวินและทหารทั่วไปต่างกันแค่เครื่องแต่งกายเท่านั้น

แล้วเกราะที่สลักสวยงามเงาวับล่ะ
เกราะแบบนั้นเรียกว่า plate armor จะพัฒนาขึ้นช่วงท้ายของยุคกลางและพัฒนาต่อไปจนถึงยุคฟื้นฟู แต่ในยุคนั้นเขาจะถือปืนไฟ ใช้ปืนใหญ่ ไม่ได้ถือดาบวิ่งไล่ฟันกันสักเท่าไหร่แล้ว
เช่นเดียวกับดาบ rapier ที่ไม่มีในยุคกลาง แต่มันถูกพัฒนามาจาก longsword และมีใช้ในยุคฟื้นฟู จุดประสงค์คือการใช้แทงใส่ตามซอกของ plate armor และไว้ประดับกาย


เกราะโซ่ของอัศวินครูเสด
« Last Edit: January 08, 2012, 04:00:20 PM by Luca »

Offline Luca

พูดถึงยุคกลางก็คงจะพลาดไม่ได้กับเรื่องของครูเสด



สงครามครูเสดเป็นสงครามศาสนาระหว่างชาวคริสต์จากยุโรป และชาวมุสลิม
ในตอนเริ่มสงคราม ชาวมุสลิมได้เข้าปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ก่อน (อาณาจักรเยรูซาเร็ม หรืออิสราเอลในปัจจุบัน)
การครอบครองเยรูซาเร็มเชื่อกันว่าเป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้ เมื่อดูในแผ่นที่โลกจะอยู่ใจกลางโลกพอดี และเยรูซาเร็มนี้ได้ชื่อว่าพระเจ้าได้มอบที่นี้ไว้ให้มนุษย์ได้พบพระองค์

สงครามครูเสดเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ซึ่งมีสงครามใหญ่ๆ เกิดขึ้นถึง 9 ครั้ง
ในมหาสงครามครั้งนี้และยังมีสงครามย่อยๆ เกิดอีกหลายครั้งในระหว่างนั้น สงครามบางครั้งก็เกิดขึ้นภายในยุโรปเอง เช่น ที่สเปน และมีสงครามย่อยๆเกิดขึ้นตลอดศตวรรษที่ 16 จนถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

สงครามครั้งที่ 1
ปี 1095 สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 รวบรวมกองทัพชาวคริสต์ไปยังกรุงเยรูซาเลม
กองทัพหลักมีประมาณ 50,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศฝรั่งเศส (ฝรั่งเศสเรืองอำนาจและมากมายไปด้วยอัศวินในยุคนั้น)
ปี 1099 กองทัพก็เดินทางมาถึงกำแพงเมืองและยึดฐานที่มั่นใกล้กำแพงเข้าปิดล้อมเยรูซาเลมไว้ กองกำลังมุสลิมที่ได้รับการขนานนามว่า ซาระเซ็น ได้ต่อสู้อย่างเข้มแข็ง
ท้ายที่สุดนักรบครูเสดก็บุกฝ่าเข้าไปและฆ่าล้างทุกคนที่ไม่ใช่ชาวคริสต์กระทั่งชาวมุสลิมในเมืองหรือชาวยิวในสถานที่ทางศาสนาก็ล้วนถูกฆ่าจนหมด
ทว่าข่าวการรบนั้นไม่อาจไปถึงพระสันตะปาปา เนื่องจากพระองค์สิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่วันถัดมา

ตรงส่วนนี้จะเอามาจากวิกิและตัดทอนแบบสรุปสั้นๆ

ผมเคยอ่านข้อมูลจากหนังสือเล่มหนึ่งบอกไว้ว่า สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ไม่ต้องการให้ชาวคริสต์เข่นฆ่ากันเองจึงได้เรียกร้องให้เหล่าชาวคริสต์เดินทางไปรบที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แทน
(ช่วงนั้นยุโรปลุกเป็นไฟจากสงครามแย่งชิงอาณานิคม ไม่ว่าจะฝรั่งเศส-อังกฤษที่รบกันจนมาถึงร้อยปีก็ใช่)

การเข้าร่วมสงครามครูเสดได้อะไร
คำตอบมีหลากหลาย ทั้งชื่อเสียง เงินทอง ดินแดน หรือความฝันที่จะได้พบพระเจ้า แน่นอนว่าในยุคนั้นมีคนหลงเชื่อการปลุกปั่นจำนวนมาก
ชาวบ้านที่เปี่ยมความหวังเดินทางเข้าร่วมรบและล้มตายไปมากมาย บางครั้งเดินทัพไปกลางทางแล้วถูกโจรปล้นชิง ตีแตก ฆ่าตายจนแตกทัพหมดก็เยอะ บ้างก็เหนื่อยล้า ป่วยตาย
อย่างที่บอกไว้ว่ายุคนี้ไม่มีทหารอาชีพ กองทัพครูเสดก็คือกษัตริย์ ขุนนาง อัศวิน และชาวบ้านที่สวมชุดกางเขนเดินทางไปรบที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ กองทัพครูเสดชาวบ้านไม่ได้เก่งกาจไปกว่าโจรที่สวมเกราะและขี่ม้า
(บางทีก็แยกไม่ออกเลยว่าโจรหรืออัศวิน เพราะโจรบางกลุ่มมันก็สวมชุดเกราะเหมือนอัศวิน และบางทีก็อัศวินนี่แหละที่ไปเป็นโจรเสียเอง)

ขอบคุณสาระดีๆ จ้า  :)

แจ๋วมากเลยดีๆ

เห็นใจคนทำเกมส์เลยอ่ะ กว่าจะทำโลกแห่งเกมส์ขึ้นมาได้นะไม่รู็ต้องใช้จินตนาการขนาดไหน

ความรู้ใหม่สำหรับเราเลยค่ะ เราก็ชอบแนวอ่านนิยายแฟนตาซี ดูหนังบ้าง แต่ไม่ถนัดเกมเลย และก็เป็นคนอ่านแนวเอาโลกความจริงกับโบราณมาผสมกันอ่ะ เข้าใจไหมอ่ะ เราเขียนยังงงเองเลย ^-^